วิธีแก้ hidden Folder แก้โฟลเดอร์ซ่อนจากไวรัส

17:26
     วันนี้เรามาดูอาการอาการหนึ่งที่ไวรัสได้เข้าไปเล่นงานไฟล์หรือโฟลเดอร์ของเรากันครับว่าเป็นยังงัยไปดูรูปกันก่อน
   
      จะสังเกตได้ว่าโฟลเดอร์ในกรอบเหลืองๆถูกซ่อนไว้  และได้แสดงให้เห็นว่าโฟลเดอร์ที่ถูกซ่อนอยู่มีอะไรบ้าง ซึ่งผมได้เปิด Folder Option ให้เห็นกันก่อนครับว่าถูกซ่อนจริง ๆ  แต่หากเราไม่ได้เปิด Folder option แล้ว show hidden folder เราจะมองไม่เห็นนะครับ (เดี๋ยวจะมาสอนกันทีหลัง) ซึ่งอันนี้แน่นอนเราจะรู้ว่าต้องโดนไวรัสอย่างแน่นอน แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับตัวนี้ครับ


   ปุ่ม Hidden ของ Folder แก้ไขไม่ได้ซะงั้นอ้าวแบบนี้ทำงัยล่ะ อย่างแรกผมแนะนำเลยครับว่าสร้างโฟลเดอร์ใหม่แล้วก็คัดลอกไฟล์ลงโฟลเดอร์ใหม่ อ้าวแล้วถ้าโฟลเดอร์ถูกซ่อนมีเป็นร้อยล่ะทำงัย อันนี้ไม่เป็นไรเดี๋ยวขออธิบายก่อนครับว่ามันเกิดจากอะไร

 หากเราต้องการยกเลิกการซ่อนทั้งหมดโดยใช้คำสั่ง cmd สามารถทำได้จาก ไปที่เมนู start แล้วพิมพ์ cmd กด Enter ครับจะได้หน้าต่างนี้ขึ้นมา

 ให้พิมพ์  attrib -s -h -r /S /D *.*  (วรรคให้ถูกต้องด้วยนะครับ) แล้ว Enter จากนั้นกลับไปสังเกตดูในใดร์ฟ ว่า Folder กลับมาแล้วหรือไม่
ตัวอย่าง  โฟลเดอร์ ในไดร์ฟ D ถูก Hidden ไว้ ให้เข้าไปที่ D โดยพิมพ์ d: แล้ว Enter
             เมื่อ เข้ามาอยู่ใน ไดร์ฟ D แล้ว ให้พิมพ์ attrib -s -h -r /S /D *.* ตาม แล้ว Enter
             แล้ว Enter จากนั้นกลับไปสังเกตดูในใดร์ฟ ว่า Folder กลับมาแล้วหรือไม่
- ยกเลิกการซ่อนบาง Folder
  attrib -s -h -r /S /D ชื่อโฟลเดอร์ (ไม่จำกัดว่า ชื่อโฟลเดอร์จะเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ
  และชื่อโฟลเดอร์จะต้องไม่เว้นวรรค แต่ถ้ามีให้ทำการแก้ไขชื่อก่อน)
    แต่วิธีข้างต้นค่อนข้างยากงั้นเอางี้ดีไหมเราใช้โปรแกรมแก้ไขกันดีกว่านะ อิๆ  เราจะแก้โฟลเดอร์ถูกซ่อนกันแบบง่ายๆกันเลยทีเดียว ไม่ต้องนั่งพิมพ์ให้เมื่อย และไม่ต้องนั่งมาเปิดโฟลเดอร์ที่ถูกซ่อน อย่างแรกไปโหลดโปรแกรมกันก่อนครับ กดแรงๆที่นี่ เมื่อได้มาแล้วก็คลิกเปิดเลย
   
     หน้าตาโปรแกรมก็เป็นอย่างนี้ล่ะครับจากนั้นเราก็คลิกปุ่มตรงกลาง(ภาษาอะไรก็ไม่รู้) เพื่อที่จะไปแก้โฟลเดอร์ที่ถูกซ่อนโดยไวรัส


    ผมขอเลือกไดร์ I แล้วกันครับซึ่งเป็น Handy drive ของผมเองมีโฟลเดอร์ที่ถูกซ่อนอยู่ หรืออีกอย่างหนึ่งให้เราคลิกไปที่โฟลเดอร์ย่อยก็ได้ครับมันจะมองเห็นโฟลเดอร์ที่ถูกซ่อนทั้งหมดแล้วคลิกทีละโฟลเดอร์ หรือถ้าจะแบบกวาดให้หมดไปเลย ^_^ เราก็คลิกทั้งไดร์นี่แหละ เอาเป็นว่าผมคลิกตามรูปด้านบนเลย แล้วคลิก OK แรงๆ (อันหลังแรงๆไม่ต้องทำก็ได้นะอิๆ)


   โปรแกรมก็จะวิ่งเพื่อไปแก้ไขโฟลเดอร์ที่ถูกซ่อนไว้ให้เราจนหมดทั้งไดร์เลยทีเดียว
    ผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโปรแกรมที่ได้นำมาแนะนำในวันนี้น่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากกับหลายๆท่านที่ถูกไวรัสเล่นงาน เพื่อเราจะได้นำไฟล์ของเรากลับมาคืนครับ



วิธีลดขนาดรูปภาพครั้งละมากๆ ด้วยโปรแกรม Acdsee

03:11
   วันนี้บทความไม่ออกแต่อยากจะนำเสนอคร๊าบ เมื่อเช้างานเข้าพอดีโจทย์คือทำอย่างไรให้เราสามารถลดขนาดของภาพได้คราวละมากๆ ที่นี่มีคำตอบครับ ชอบแบบไหนทำแบบไหนลองดูครับ โดยโปรแกรมนี้จะทำให้เราลดเวลาการทำงานได้เยอะเลยครับหวังว่าคงถูกใจหลายๆท่านนะครับ
    สิ่งแรกที่เราจำเป็นจะต้องมีนั่นก็คือโปรแกรม Acdsee หลายๆคนก็มีในเครื่องแล้วล่ะแต่หลายๆคนยังไม่มีก็หาดาวน์โหลดมาใช้งานได้เลยครับเมื่อคุณติดตั้งเสร็จแล้วก็ดูตัวอย่างตอนต่อไปครับ

1. เปิดหารูปภาพจากคอมพิวเตอร์ของเราครับ

2. Duble Click รูปภาพขึ้นมาโปรแกรม ACDsee ก็จะเปิดโปรแกรมขึ้นมาแบบอัติโนมัติ


3.โปรแกรมจะเปลี่ยนเป็น Photo Manager ครับ

 

 4.กดแป้นพิมพ์ Ctrl+A ครับคำสั่งนี้จะเป็นคำสั่งในการเลือกทั้งหมด น่าจะเคยใช้กันนะครับ หรือจะใช้เลือกทีละภาพโดยกดปุ่ม Ctrl ค้างไว้แล้วใช้เมาส์คลิกเลือกครับ

5. จากนั้นให้ไปที่เมนู Batch+Resize ครับหรือเอาแบบลัดๆเลยก็ Ctrl+R ก็จะได้รดังภาพด้านล่างครับ


6.อธิบายกันนิดเมื่อเห็นเมนูนี้แล้วนะครับการย่อรูปภาพทีละมากๆ ปุ่มแรกคือ 
     - Percentage of originall ใช้สำหรับย่อแบบให้เป็นเบอร์เซ็นจากภาพขนาดจริงเช่นเราอยากลดขนาดภาพสัก 50% เราก็ทำได้ครับ เช่นขนาดภาพ 1200 px เมื่อลด 50 % ก็จะเหลือ 600 px ครับ
    -  Size in pixels ใช้สำหรับกำหนดขนาดภาพได้ตามต้องการครับว่าต้องการใหญ่แค่ไหน กรณีนี้ผมจะใช้บ่อยเพราะว่าขนาดภาพบางภาพมาเป็น 4000 px ผมจะย่อให้เหลือประมาณ 800 px เพื่อทำภาพ Gallery ในเว็บไซต์ อันนี้ก็กำหนดตามใจชอบได้เลยครับ
    -  Actual/Point size ใช้สำหรับกำหนดภาพที่เราต้องการขนาดเช่น เซนติเมตร มิลลิเมตร หรือนิ้ว

    เมนูนี้เลือกได้ตามความเหมาะสมเลยครับ


7.  ตำแหน่งที่จะบรรทึกอยู่ที่ไหนอย่างไร
      - Remove/replace original file ใช้สำหรับเราไม่ต้องการเก็บไฟล์เก่าไว้เราจะบันทึกทับครับ
      - Rename modified images and place insource folder เมนูนี้จะสร้างไฟล์ขึ้นมาใหม่ในโฟลเดอร์เดิมนั่นแหละครับ แต่ว่าจะมีชื่อ Resize_xxx ตามขึ้นมา
      -  Place the modified images in the following folder เมนูนี้เปลี่ยนที่อยู่ของไฟล์ใหม่เลยครับ เราสามารถคลิกที่รูปโฟลเดอร์แล้วเลือกตำแหน่งที่อยู่ได้เลย จากนั้นก็ไม่มีอะไรครับให้มันเป็นค่าปกติอย่างเดิม แล้วคลิกโอเค
 8. โปรแกรมจะกลับมาที่หน้าเดิมที่เราต้องการครับ แล้วคลิก Start Resize ครับ ขนาดของภาพที่เราตั้งผมแนะนำให้ตั้ง width เป็นขนาดที่ต้องการนะครับส่วน Height ความสูงนั้นก็ลบจากค่า width ออกสัก 200 ก็พอเดี๋ยวโปรแกรมจำคำนวณให้ใหม่ครับ


9. โปรแกรมก็จะทำงานไปเรื่อย ๆจนหมดรูปภาพที่เราเลือกครับ  เสร็จแล้วก็ไปเปิดดูไฟล์ที่เราบันทึกไว้
   







มาดูว่า USB3 คืออะไรกันซึ่งโน๊ตบุคทุกวันนี้ก็มีพอร์ตนี้กันแล้ว

22:24

           ทุกวันนี้โน๊ตบุคใหม่ๆมีช่องเชื่อมต่อแบบ USB3.0 กันแล้ว แล้วเราจะทำอย่างไรดี ปล่อยไว้เฉยๆหรือจะลองของกัน สำหรับผมลองของกันดีกว่า 555+ สำหรับเจ้า USB3.0  นั้นสามารถส่งถ่ายข้อมูลได้ถึง 5 Bbps เลยทีเดียว อยากรู้แล้วสิว่าเป็นอย่างไรแล้วสิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้เป็นเบื้องต้นคืออะไร



สำหรับการพัฒนา USB3.0 นั้นอาศัยการตั้งหลักเกณฑ์ในการพัฒนาในเรื่องหลัก 3  เรื่อง ได้แก่
  • ต้องมีการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
  • ความเข้ากันได้กับรุ่นเก่า
  • การปรับปรุงประสิทธิภาพในการถ่ายโอนข้อมูล
ใช้พลังงานน้อยลงในการย้ายข้อมูลขนาดเท่าเดิม
กุญแจสำคัญในการพัฒนา USB 3.0 คือ การปรับปรุงเรื่องประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นในการยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่สำหรับอุปกรณ์พกพา ไม่ว่าจะเป็นโฮสต์หรืออุปกรณ์เสริม มีการพัฒนากรอบการทำงานหลายอย่างเพื่อลดการใช้พลังงานโดยรวมของอุปกรณ์ USB รุ่นใหม่อันประกอบด้วย
-          การขจัดเรื่องการสอบถามอุปกรณ์
-          การขจัดเรื่องการกระจายแพคเก็ต
-          สถานะพลังงานต่ำระหว่างการถ่ายข้อมูล
-          เพิ่มความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูล 10 เท่า
ความเปลี่ยนแปลงประการแรกที่ช่วยลดการใช้พลังงานคือ การขจัดการสอบถามอุปกรณ์ (device polling) ใน USB 2.0 โฮสต์คอนโทรลเลอร์ต้องทำการสอบถามอุปกรณ์ที่รู้จักอย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจ สอบว่ามีข้อมูลหรือต้องการส่งข้อมูลกลับมายังระบบโฮสต์หรือไม่ การสอบถามอุปกรณ์ทำให้อุปกรณ์ทุกตัวต้อง “ตื่นตัว” อย่างเต็มที่และสามารถส่งข้อมูลได้ตลอดเวลา อันหมายความว่า อุปกรณ์แต่ละตัวต้องเปลืองพลังงานในการส่งสัญญาน ตอบกลับไปยังระบบโฮสต์  เมื่อไม่มีข้อมูลที่ต้องการส่งกลับไปท้ายที่สุดโฮสต์ยังกินพลังงานอย่างต่อเนื่องจากการถามอุปกรณ์ต่างๆ ว่ามีข้อมูลที่ต้องการส่งหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ไม่มี
ความเปลี่ยนแปลงประการถัดมาคือ การเปลี่ยนรูปแบบการถ่ายโอนแพคเก็ตจากการกระจายมาเป็นการถ่ายโอนโดยตรง เมื่อโฮสต์ USB 2.0 มีข้อมูลที่ต้องการส่งไปยังอุปกรณ์ มันจะกระจายข้อมูลไปให้แก่พอร์ตทุกตัวต่อจากนั้นฮับทุกตัวที่สัมพันธ์กันต้องกระจายแพคเก็ตไปยังพอร์ตที่เกี่ยวข้อง แต่ละอันอีกครั้ง ท้ายที่สุด อุปกรณ์แต่ละตัวบนบัสต้องประมวลผลข้อมูล (ใช้พลังงาน)เพื่อพิจารณาว่ามันเป็นเป้าหมายของการส่งข้อมูลครั้งนี้หรือไม่
SuperSpeed USB มีการเปลี่ยนโปรโตคอลให้จัดส่งข้อมูลไปยังเป้าหมายที่ต้องการโดยตรง ซึ่งทำให้โฮสต์ต้องมีความชาญฉลาดมากขึ้นที่จะทราบว่าอุปกรณ์อยู่ตรงส่วนใด อันประกอบด้วยพอร์ตใดของฮับ (หรือพอร์ตต่าง ๆ หากมีฮับหลายตัวต่อคั่นกลางระหว่างฮับกับโฮสต์)  เส้นทางการส่งข้อมูลออกไป เทคนิคนี้ช่วยลดการใช้พลังงานโดยรวมทั้งในแง่การเจาะจงเป้าหมายที่ต้องการ ส่งข้อมูลไปให้โดยเฉพาะและมีเพียงเป้าหมายเท่านั้นที่ต้องมีการประมวลผล ข้อมูล
ความเร็วที่เพิ่มขึ้นมากถึง 10 เท่ายังช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานโดยรวม  ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวรับส่งข้อมูลความเร็ว 5 Gbps จะใช้พลังงานในการส่งข้อมูลน้อยกว่าตัวรับส่งข้อมูลความเร็ว 480 Mbps ปกติ USB 2.0 จะมีอัตราการใช้พลังงานอยู่ที่ 4.75 v. – 5.25 V. ต่อพอร์ท และใช้กระแสอยู่ที่ 500mA ซึ่งหากคิดเป็นอัตราค่าพลังงานต่อความเร็วแล้วจะได้ที่ประมาณ 960 Kbp/s ต่อ mA แต่ USB 3.0 จะใช้พลังงานมากกว่าเก่าเกือบสองเท่า คือที่ประมาณ  900mA  แต่ได้ความเร็วกลับมาประมาณ 10 เท่า
 อย่างไรก็ดี สิ่งที่เรากำลังพูดถึงคือการลดพลังงานโดยรวม ไม่ใช่เพียงแค่กระแสไฟสูงสุดที่เกิดขึ้นเพียงชั่วระยะเวลาอันสั้นเมื่อตัว รับส่งข้อมูลเริ่มทำงาน เมื่อเราคำนึงถึงระยะเวลาทำงานของตัวรับส่งข้อมูลที่ลดลงประมาณ 10 เท่า ดังนั้นพลังงานทั้งหมดที่ต้องใช้เพื่อส่งข้อมูลจำนวนเท่ากันดังเช่น  การย้ายไฟล์จากเครื่องคอมพิวเตอร์ไปยังแฟลชไดรฟ์  ย่อมลดลงอยู่ในช่วงระหว่าง 20 เปอร์เซนต์  (เวลาใช้ไฟสูงสุดสองครั้งซึ่งใช้เวลาในการทำงานเพียงหนึ่งในสิบของเวลาเดิม)  กับ 50 เปอร์เซนต์ (เวลาใช้ไฟสูงสุดห้าครั้งซึ่งใช้เวลาในการทำงานเพียงหนึ่งในสิบของเวลาเดิม)  ของพลังงานทั้งหมดที่ต้องการใช้ในการส่งข้อมูลขนาดเดียวกันผ่านทาง USB 2.0
เมื่อผสมผสานระหว่างประสิทธิภาพการจัดพลังงานขณะว่างงานที่ผ่านการปรับปรุงให้ดีขึ้น คือจะมีโหมด  Idle, Sleep, Suspend  และ ไม่มีการกระจายแพคเก็ตและขจัดเรื่อง polling , พลังงานที่ใช้ในการส่งข้อมูลโดยเฉลี่ยที่ลดลง ทำให้ SuperSpeed USB จะใช้พลังงานประมาณไม่เกินหนึ่งในสามของ USB 2.0 เท่านั้น
ผลพลอยได้จากการที่  USB 3.0 สามารถส่งพลังงานถึง  900mA นั้นคือ จะะทำให้การชาร์ตอุปกรณ์ที่สนับสนุน USB 3.0 ที่เสียบผ่านสาย USB 3.0 ชาร์ตเร็วขึ้นด้วย
ความเข้ากันได้กับรุ่นเก่า
หัวใจสำคัญลำดับถัดไประหว่างการพัฒนาคือ การคงรักษาความเข้ากันได้กับ USB รุ่นเก่า  ในระหว่างการพัฒนา มีการพบว่าสายเคเบิลและหัวต่อที่ใช้อยู่นั้นไม่สามารถทำให้เกิดความน่าเชื่อ ถือมากพอสำหรับการถ่ายโอนข้อมูลที่ความเร็ว 5 Gbps ดังนั้นนักพัฒนาจึงได้ตัดสินใจว่าจำเป็นต้องส่งสัญญาณผ่านทางตัวนำแยกต่าง หากแทนที่จะใช้ตัวที่มีอยู่แล้วใน USB 2.0 สรุปแล้วนักพัฒนาเลือกที่จะใช้วิธีการส่งสัญญาณที่ต่างออกไปแบบ Full  Duplex ซึ่งมีรากฐานมาจากมาตรฐานทางไฟฟ้าของ PCI Express
Full Duplex คือการส่งข้อมูลแบบสองทิศทางได้พร้อมกันในทันที (สังเกตได้จากโลโก้ด้านบน ที่มีลูกศรสองหัว) ซึ่งในเวอร์ชันที่เราใช้ๆ กันอยู่นั้นจะสามารถส่งข้อมูลครั้งละ 1 ทิศทาง สังเกตได้ว่ารูปแบบสาย USB 3.0 นั้นจะมีถึงสี่เส้น โดยใช้ทิศทางละสองเส้น ต่างจากเวอร์ชั่น 2.0 จะมีสายที่ใช้ในการส่งข้อมูลเพียงคู่เดียวเท่านั้น
แล้วความเข้ากันได้กับรุ่นเก่ามีความหมายอย่างไร  เมื่อเราพิจารณาจากมุมมองของผู้ใช้ทั่วไป มันหมายความว่าสินค้าทุกตัวที่มีอยู่ซึ่งทำงานได้ตรงตามมาตรฐานจะสามารถทำ งานร่วมกับสินค้าใหม่ทุกตัวที่สนับสนุนมาตรฐานใหม่ อันหมายความว่าเคเบิลที่มีอยู่แล้วดังเช่น ปลั๊ก ต้องสามารถใช้กับตัวรับรุ่นใหม่ที่เหมาะสม ในทางกลับบ้าน เคเบิลรุ่นใหม่ต้องสามารถใช้กับตัวรับรุ่นเก่าได้เช่นกัน

เป็นที่ชัดเจนว่า เคเบิลและปลั๊กที่สนับสนุนมาตรฐานการรับส่งข้อมูลแบบ SuperSpeed USB จะมีตัวนำอันใหม่ทั้งในส่วนเคเบิลและหน้าสัมผัสอันใหม่ในปลั๊ก นอกจากนี้ ตัวรับรุ่นใหม่ต้องมีหน้าสัมผัสแบบใหม่รวมไปถึงรองรับหัวต่อแบบใหม่ที่ต้อง การได้เช่นกัน
 ลดการทำงานที่สูญเปล่า
กุญแจสำคัญลำดับสุดท้ายในการพัฒนาคือการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้บัสโดย รวม เราได้กล่าวมาแล้วว่า การขจัดเรื่องการสอบถามอุปกรณ์,  การปรับสถาปัตยกรรมเป็นแบบ Full Duplex ของ SuperSpeed USB ช่วยให้สามารถรับส่งข้อมูลได้สองทางพร้อมกันต่างจากสถาปัตยกรรม USB 2.0 ที่เป็น Half Duplex
 ใน USB 2.0 บัส Half Duplex ที่มีเส้นทางส่งข้อมูลเพียงชุดเดียว สำหรับการถ่ายโอนข้อมูลก่อให้เกิด ประเด็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพบัสสองประการ ประการแรกคือบัสต้อง “หมุนตัว” ทุกครั้งที่ทิศทางการไหลของข้อมูลเปลี่ยนไป อันหมายความว่าตัวส่งข้อมูลต้องหยุดทำงานตรงปลายด้านหนึ่งของการเชื่อมต่อ เมื่อตัวรับที่อยู่อีกด้านหนึ่งหยุดทำงาน เมื่อกระบวนการนี้เสร็จสมบูรณ์ การย้อนกลับจะเกิดขึ้นเมื่อตัวรับเริ่มทำงานบนอุปกรณ์ตัวแรกและตัวส่งเริ่ม ทำงานบนอุปกรณ์ตัวที่สอง
การทำงานแบบนี้ทำให้มีการใช้เวลาบนบัสอย่างสูญเปล่าซี่งมีนัยสำคัญที่ทำ ให้สมรรถภาพลดลง ผลพวงที่ตามมาคือต้องมีการถ่ายโอนข้อมูลเดิมให้เสร็จสิ้นก่อนที่จะการถ่าย โอนอันถัดไปจะเริ่มขึ้น อันหมายความว่าอุปกรณ์ฝั่งรับต้องแจ้งว่าได้รับข้อมูลแล้วและอุปกรณ์ฝั่งส่ง ต้องรับรู้สัญญาน ก่อนที่จะมีการส่งข้อมูลถัดไปผ่านบัส
ในสภาพแวดล้อมของ SuperSpeed  ซึ่งมีเส้นทางส่งข้อมูลสองชุดบนอุปกรณ์ทุกตัว ชุดหนึ่งใช้สำหรับรับข้อมูลและอีกชุดหนึ่งใช้สำหรับส่งข้อมูล อันเป็นการขจัดเวลาหมุนตัวของบัส  นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถส่งข้อมูลเพิ่มเติมจากฝั่งส่งโดยไม่รอการแจ้งว่า ได้รับข้อมูลแล้วจากฝั่งรับ

ปัญหาจากการความเร็วที่เพิ่มขึ้น
การส่งข้อมูลมักมีคอขวดที่จำกัดสมรรถภาพของการส่งข้อมูลทั้งหมด ในขณะที่ USB 2.0 High-Speed (และแม้แต่ USB Full-Speed ความเร็ว 12 Mbps และ USB Low-Speed ความเร็ว 1.5 Mbps) มีความเร็วเกินพอสำหรับการใช้งานบางประเภท แต่สำหรับการใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว USB 2.0 ได้กลายเป็นคอขวดในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา อันเป็นเหตุผลสำคัญให้มีการพัฒนามาตรฐานใหม่ที่เน้นเรื่องการถ่ายโอนข้อมูล อันเป็นการขจัดคอขวดที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ไม่ว่าสื่อที่ใช้บันทึกข้อมูลจะเป็นแบบจานหมุน เช่น ฮาร์ดดิสก์, ซีดี, ดีวีดี , แบบโซลิดสเตทหรือแฟลชไดรฟ์ที่มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลาย สื่อเก็บข้อมูลเหล่านี้มีความสามารถในการถ่ายโอนข้อมูลในอัตรามากกว่าที่ USB 2.0 สามารถทำได้
ดังนั้นคำถามก็คือ มีสื่อเก็บข้อมูลในปัจจุบันที่สามารถอ่านและเขียนข้อมูลด้วยอัตราใกล้เคียง 5 Gbps หรือไม่ คำตอบก็คือมีสื่อเช่นนั้นจริง แต่ยังไม่มากนัก คำตอบนี้อาจทำให้หลายคนเกิดความกังวลว่า SuperSpeed USB จะกลายเป็นคอขวดอีกครั้งหรือไม่ เป็นที่แน่นอนว่ามันสามารถเกิดขึ้นแต่คงไม่ใช่ในระยะเวลาอันใกล้นี้  นักวิชาการหรือผู้รู้ด้านคอมพิวเตอร์ คาดการว่า SuperSpeed USB ควรมีอายุยืนยาวไปอย่างน้อยอีก 5 ปี
ข้อมูลอ้างอิง   www.usb.org
ขอบคุณข้อมูล http://notebookspec.com/web/?p=82474

Peeb Code Post (เสียงบ่งบอกอาการเสียของคอมพิวเตอร์)

20:21
   Peeb Code Post คืออะไร ผมขอพูดแบบลูกทุ่ง ๆแล้วกันนะครับ มันคือเสียงที่แจ้งบอกให้เรารู้ว่า อุปกรณ์ตัวใดมีปัญหา แล้วมันจะแจ้งเป็นจังหวะ (สามช่าป่าวหว่า) คงไม่ใช่ที่คิดครับบ เสียงที่แจ้งนั้นจะเป็นเสียงถี่ สั้น หรือยาวนั้นขึ้นอยู่กับเมนบอร์ดด้วยและอุปกรณ์ด้วยครับ เพื่อไม่เป็นการพร่ำไปมากกว่านี้ เราไปดูกันครับว่า เสียงแบบนี้บ่งบอกอะไร
ตัวอย่าง : Beep Code ของ Aword
จังหวะเสียง ความหมาย


เสียงดัง 1 ครั้ง แสดงว่าขั้นตอนการบูตเครื่องหรือขั้นตอน Post เป็นปกติ


เสียงดัง 2 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแรม เช่น เสียบไม่แน่นหรือแรมเสียทำให้บูตเครื่องไม่ผ่าน ควรตรวจสอบแรม


เสียงดัง 3 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแรม เช่น เสียบไม่แน่นหรือแรมเสียทำให้บูตเครื่องไม่ผ่าน ควรตรวจสอบแรม


เสียงดังต่อเนื่อง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแหล่งจ่ายไฟ เช่น เพาเวอร์ซัพพลาย หรือเมนบอร์ดอาจมีปัญหา ให้ตรวจสอบ เพาเวอร์ซัพพลาย และเมนบอร์ด


เสียงดังถี่ ๆ แสดงว่ามีปัญหาในส่วนเมนบอร์ดให้ตรวจสอบสายสัญญาณต่าง ๆ และตัวเมนบอร์ด


เสียงดัง 6 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของคีย์บอร์ด ให้ตรวจสอบคีย์บอร์ด


เสียงดัง 7 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของซีพียู อาจต้องเปลี่ยนซีพียูใหม่


เสียงดัง 8 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการ์ดแสดงผล ( VGA ) ตรวจสอบการ์ดแสดงผลว่าเสียบแน่นดีหรือไม่ หากยังไม่ได้ผลอาจต้องเปลี่ยนการ์ดแสดงผลใหม่


เสียงดังยาว 1 สั้น 2 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการ์ดแสดงผล ( VGA ) ตรวจสอบการ์ดแสดงผลว่าเสียบแน่นดีหรือไม่ หากยังไม่ได้ผลอาจต้องเปลี่ยนการ์ดแสดงผลใหม่


เสียงดัง 9 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของไบออส อาจต้องเปลี่ยนไบออสใหม่


เสียงดัง 10 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการเขียน CMOS อาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่


เสียงดัง 11 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนในส่วนของหน่วยความจำแคช ควรตรวจสอบแคชภายนอกบนเมนบอร์ด


ไม่มีเสียง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของ เพาเวอร์ซัพพลาย, เมนบอร์ด หรือซีพียู รวมถึงสายสัญญาณ และสายไฟต่าง ๆ

ตัวอย่าง : ตาราง Beep Code ของ AMI

         สำหรับจังหวะสัญญาณ Beep Code ของไบออส ยี่ห้อ AMI นั้นค่อนข้างมีส่วนคล้ายกับของไบออสยี่ห้อ Award อยู่พอสมควร เพราะจังหวะ สัญญาณนั้นฟังได้ง่ายไม่ซับซ้อนโดยแต่ละสัญญาณเสียงที่เป็นปัญหาหลัก ๆ จะมีความหมายดังนี้
------------------------------------------------------------------------------



จังหวะเสียง ความหมาย


เสียงดัง 1 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของเมนบอร์ด อาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่


เสียงดัง 2 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแรม เช่น เสียบไม่แน่นหรือแรมเสียทำให้บูตเครื่องไม่ผ่าน ควรตรวจสอบแรม


เสียงดัง 3 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแรม เช่น เสียบไม่แน่นหรือแรมเสียทำให้บูตเครื่องไม่ผ่าน ควรตรวจสอบแรม


เสียงดัง 4ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของชิพ Timmer อาจต้องเปลี่ยนชิพหรือเมนบอร์ดใหม่


เสียงดัง 5 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของซีพียู อาจต้องเปลี่ยนซีพียูใหม่


เสียงดัง 6 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของชิพควบคุมคีย์บอร์ดเสีย หรือไม่อาจเป็นที่ตัวคีย์บอร์ดเอง อาจต้องเปลี่ยนชิพ,เมนบอร์ด หรือคีย์บอร์ดใหม่


เสียงดัง 7 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนในส่วนของซีพียู อจต้องเปลี่ยนซีพียูใหม่


เสียงดัง 8 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการ์ดแสดงผล ( VGA ) ตรวจสอบการ์ดแสดงผลว่าเสียบแน่นดีหรือไม่ หากยังไม่ได้ผลอาจต้องเปลี่ยนการ์ดแสดงผลใหม่


เสียงดัง 9 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของไบออส อาจต้องเปลี่ยนไบออสใหม่


เสียงดัง 10 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการเขียน CMOS อาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่


เสียงดัง 11 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนในส่วนของหน่วยความจำแคช ควรตรวจสอบแคชภายนอกบนเมนบอร์ด


เสียงดังสั้น ๆ 2 ครั้ง เสียงดังยาว 1 สั้น 2 แสดงว่ามีปัญหาในขั้นตอนการ Post ที่มีบางขั้นตอนไม่ผ่าน แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการ์แสดงผล ( VGA ) ตรวจสอบการ์ดแสดงผลว่าเสียบแน่นดีหรือไม่ หากยังไม่ได้ผลอาจต้องเปลี่ยนการ์ดแสดงผลใหม่


เสียงดังยาว ๆ 1 ครั้ง แสดงว่าขั้นตอนการบูตเครื่องหรือขั้นตอนการ Post เป็นปกติ






เมื่อคอมพิวเตอร์โดนไวรัส

20:23
     เมื่อรู้ว่าคอมพิวเตอร์โดนไวัสแล้วทำอย่างไร บางท่านกำลังคิดในใจว่าปล่อยไว้งั้นแหละ แล้วค่อยซ่อม ใช้ไปก่อนแล้วกัน อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งคำตอบ แต่รู้ไหมครับว่า เมื่อโดนไวรัสแล้ว ไวรัสบางตัว มันจะลามไปเกาะไฟล์ต่าง ๆของเรา แล้วยิ่งถ้าตอนนั้นโปรแกรมแอนตี้ไวรัสของเรานั้นทำงานเต็มประสิทธิภาพ แบบว่าอัพเดทใหม่ ๆ (ทั้งๆที่ไม่่ยอมไปลบไวรัสซะงั้น) ตัวโปรแกรมแอนตี้ไวรัสก็จะตามไปลบไฟล์ของเราที่มีไวรัสไปเกาะครับ สังเกตุได้ว่า โปรแกรมของเราโหลดมาไว้ใน Harddisk พอคลิก Setup แล้วฟ้อง Error ซะงั้น กำแล้วงัย นั่นแหละครับไวรัสเล่นงาน และชอบเล่นงานไฟล์จำพวก .exe ซะด้วย มาดูครับว่าเราพอทำอะไรได้บ้าง
1. ถ้า windows ยังไม่ล่ม ก็ทำการ BACKUP ข้อมูลไว้ก่อนครับ
2. ถ้าหากว่าโปรแกรม antivirus ไปลบไฟล์ของเราเรื่อย ๆ นั้นก็ปล่อยไว้ก่อนครับ เพราะว่าตอนนี้สคริปไวรัสมันรันอยู่ และก็ไวรัสนั้นไม่ได้เกาะไฟล์อะไรรวดเร็วขนาดนั้นครับ เพราะถ้าไวรัสเกาะไฟล์ของแล้ว เมื่อเราเรียกใช้งาน ยังงัยไวรัสก็รันมาใหม่อยู่ดีครับ
2. ถ้า windows ล่มแล้ว ให้หาแผ่น Boot มาใช้งาน เพื่อที่จะ backup ข้อมูลเก็บไว้
3. ลง Windows ใหม่ หรือถ้ามี Ghos อยู่ก็ GHOS ใหม่ครับ (อันนี้จะสะดวกหนอ่ย) เวลาลง Windows ก็ถอดสาย Lan ออกก่อนก็ดีเหมือนกันครับ เพราะตอนลง windows ตัว Mulware จะลงได้
4.เมื่อลงระบบปฏิบัติการเรียบร้อยแล้วก็ลงโปรแกรมและ Driver ให้เรียบร้อย จากนั้นเราก็ทำการอัพเดท โปรแกรมแอนตี้ไวรัสให้ล่าสุด แล้วก็สแกน ทุก Drive ครับ เพราะบางทียังมีไฟล์ไวรัสอยู่ในไดร์ต่าง ๆที่ไม่ใช่ Drive C:
5.ถ้ามีไวรัส ก็ลบให้เรียบครับ

อาการ Blue Screen แก้ไขอย่างไร

19:03
  อาการ Blue Screen นั้นหน้าตาแบบไหน ก็สีฟ้าแน่นอนเลย คุณอาจจะคิดอย่างนั้น ก็ถูกครับแต่อาการนี้ เป็นอาการที่ ใครหลาย ๆคนไม่อยากจะเจอกันเลยทีเดียว เพราะว่ามันขึ้นจอฟ้ามาเลยอย่างที่คิดนั่นแหละครับ แล้วก็บอกโค้ดอะไรก็ไม่รู้ เยอะไปหมดสรุปแล้ว มันเป็นอะไร เราไปดูก่อนแล้วกันครับว่าหน้าตามันเป็นยังงัย
     หน้าตาก็ประมาณนี้ครับขี้นมาเฉยเลย อาการแบบนี้ส่วนมาจะมีปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์และไดร์เวอร์ซะส่วนใหญ่ไปดูกันว่าโค้ดที่ม้นฟ้องขึนมาเราแก้กันอย่างไร

1.(stop code 0X000000BE)Attempted Write To Readonly Memory


สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

            อาการนี้เกิดจากการลง driver หรือ โปรแกรม หรือ service ที่ผิดพลาด เช่น ไฟล์บางไฟล์เสีย ไดร์เวอร์คนละรุ่นกัน ทางแก้ไขให้ uninstall โปรแกรมตัวที่ลงก่อนที่จะเกิดปัญหานี้ ถ้าเป็นไดร์เวอร์ก็ให้ทำการ roll back ไดร์เวอร์ตัวเก่ามาใช้ หรือ หาไดร์เวอร์ที่ล่าสุดมาลง (กรณีที่มีใหม่กว่า ถ้าเป็นพวก service ต่างๆที่เราเปิดก่อนเกิดปัญหาก็ให้ทำการปิด หรือ disable ซะ
2.(stop code 0X000000C2) Bad Pool Caller

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

             ตัวนี้จะคล้ายกับตัวข้างบน แต่เน้นที่พวก hardware คือเกิดจากอัฟเกรดเครื่องพวก Hardware ต่าง เช่น ram ,harddisk การ์ดต่างๆ ไม่ compatible กับ XP ทางแก้ไขก็ให้เอาอุปกรณ์ที่อัฟเกรดออก ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ให้ลงไดร์เวอร์ หรือ อัฟเดท firmware ของอุปกรณ์นั้นใหม่ และคำเตือนสำหรับการจะอัฟเดท ให้ปิด anti-virus ด้วยนะครับ เดียวมันจะยุ่งเพราะพวกโปรแกรม anti-virus มันจะมองว่าเป็นไวรัส


3.(stop code 0X0000002E) Data Bus Error

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

         อาการนี้เกิดจากการส่งข้อมูลที่เรียกว่า BUS ของฮาร์แวร์เสียหาย ซึ่งได้แก่ ระบบแรม ,Cache L2 ของซีพียู , เมมโมรีของการ์ดจอ, ฮาร์ดดิสก์ทำงานหนักถึงขั้น error (ร้อนเกินไป และเมนบอร์ดเสีย


4.(stop code 0X000000D1)Driver IRQL Not Less Or Equal

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

        อาการไดร์เวอร์กับ IRQ(Interrupt Request ) ไม่ตรงกัน การแก้ไขก็เหมือนกับ error ข้อที่ 1

5. (stop code 0X0000009F)Driver Power State Failure

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

         อาการนี้เกิดจาก ระบบการจัดการด้านพลังงานกับไดรเวอร์ หรือ service ขัดแย้งกัน เมื่อคุณให้คอมทำงานแบบ"Hibernate" แนวทางแก้ไข ถ้าวินโดวส์แจ้ง error ไดร์เวอร์หรือ service ตัวไหนก็ให้ uninstall ตัวนั้น หรือจะใช้วิธี Rollback driver หรือ ปิดระบบจัดการพลังงานของวินโดวส์ซะ

6.(stop code 0X000000CE) Driver Unloaded Without Cancelling Pending Operations

สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการไดร์เวอร์ปิดตัวเองทั้งๆ ทีวินโดวส์ยังไม่ได้สั่ง การแก้ไขให้ทำเหมือนข้อ 1

7.(stop code 0X000000F2)Hardware Interrupt Storm

สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการที่เกิดจากอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เช่น USB หรือ SCSI controller จัดตำแหน่งกับ IRQ ผิดพลาด สาเหตุจากไดร์เวอร์หรือ Firmware การแก้ไขเหมือนกับข้อ 1
8.(stop code 0X0000007B)Inaccessible Boot Device

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

       อาการนี้จะมักเจอตอนบูตวินโดวส์ จะมีข้อความบอกว่าไม่สามารถอ่านข้อมูลของไฟล์ระบบหรือ Boot partitions ได้ ให้ตรวจฮาร์ดดิสก์ว่าปกติหรือไม่ สายแพหรือสายไฟที่เข้าฮาร์ดดิสก์หลุดหรือไม่ ถ้าปกติดีก็ให้ตรวจไฟล์ Boot.ini อาจจะเสีย หรือไม่ก็มีการทำงานแบบ Multi OS ให้ตรวจดูว่าที่ไฟล์นี้อาจเขียน Config ของ OS ขัดแย้งกัน
      อีกกรณีหนึ่งที่เกิด error นี้ คือเกิดขณะ upgrade วินโดวส์ สาเหตุจากมีอุปกรณ์บางตัวไม่ Compatible ให้ลองเอาอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นหรือคิดว่ามีปัญหาออก เมื่อทำการ upgrade วินโดวส์ เรียบร้อย ค่อยเอาอุปกรณ์ที่มีปัญหาใส่กลับแล้วติดตั้งด้วยไดร์ เวอร์รุ่นล่าสุด


9. (stop code 0X0000007A) Kernel Data Inpage Error

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
         อาการนี้เกิดมีปัญหากับระบบ virtual memory คือวินโดวส์ไม่สามารถอ่านหรือเขียนข้อมูลที่ swapfile ได้ สาเหตุอาจเกิดจากฮาร์ดดิสก์เกิด bad sector, เครื่องติดไวรัส, ระบบ SCSI ผิดพลาด, RAM เสีย หรือ เมนบอร์ดเสีย

10.(stop code 0X00000077)Kernel Stack Inpage Error

สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการและสาเหตุเดียวกับข้อ 9


11.(stop code 0X0000001E)Kmode Exception Not Handled

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
         อาการนี้เกิดการทำงานที่ผิดพลาดของไดร์เวอร์ หรือ service กับ หน่วยความจำ และ IRQ ถ้ามีรายชื่อของไฟล์หรือ service แสดงออกมากับ error นี้ให้ทำการ uninstall โปรแกรมหรือทำการ Roll back ไดร์เวอร์ตัวนั้น   ถ้ามีการแจ้งว่า error ที่ไฟล์ win32k สาเหตุเกิดจาก การ control software ของบริษัทอื่นๆ (Third-party) ที่ไม่ใช้ของวินโดวส์ ซึ่งมักจะเกิดกับพวก Networking และ Wireless เป็นส่วนใหญ่
Error นี้อาจจะเกิดสาเหตุอีกอย่าง นั้นคือการ run โปรแกรมต่างๆ แต่หน่วยความจำไม่เพียงพอ
12.(stop code 0X00000079)Mismatched Hal

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
        อาการนี้เกิดการทำงานผิดพลาดของ Hardware Abstraction Layer (HAL) มาทำความเข้าใจกับเจ้า HAL ก่อน HAL มีหน้าที่เป็นตัวจัดระบบติดต่อระหว่างฮาร์ดแวร์กับซอ ฟท์แวร์ว่าแอปพลิเคชั่นตัวไหนวิ่งกับอุปกรณ์ตัวไหนให ้ถูกต้อง ยกตัวอย่าง คุณมีซอฟท์แวร์ที่ออกแบบไว้ใช้กับ Dual CPU มาใช้กับเมนบอร์ดที่เป็น Single CPU วินโดว์ก็จะไม่ทำงาน วิธีแก้คือ reinstall วินโดวส์ใหม่
        สาเหตุอีกประการการคือไฟล์ที่ชื่อ NToskrnl.exe หรือ Hal.dll หมดอายุหรือถูกแก้ไข ให้เอา Backup ไฟล์ หรือเอา original ไฟล์ที่คิดว่าไม่เสียหรือเวอร์ชั่นล่าสุดก๊อปปี้ทับไ ฟล์ที่เสีย
13.(stop code 0X0000003F)No More System PTEs

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
        อาการนี้เกิดจากระบบ Page Table Entries (PTEs) ทำงานโดย Virtual Memory Manager (VMM) ผิดพลาด ทำให้วินโดวส์ทำงานโดยไม่มี PTEs ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับวินโดวส์ อาการนี้มักจะเกิดกับการที่คุณทำงานแบบ multi monitors  ถ้าคุณเกิดปัญหานี้บ่อยครั้ง คุณสามารถปรับแต่ง PTEs ได้ใหม่ ดังนี้

1. ให้เปิด Registry ขึ้นมาแก้ไข โดยไปที่ Start > Run แล้วพิมพ์คำสั่ง Regedit

2. ไปตามคีย์นี้ HKEY_LOCAL_MACHINESYSTEMCurrentControlSetControlSe ssion ManagerMemory Management

3. ให้ดูที่หน้าต่างขวามือ ดับคลิกที่ PagedPoolSize ให้ใส่ค่าเป็น 0 ที่ Value data และคลิก OK

4. ดับเบิลคลิกที่ SystemPages ถ้าคุณใช้ระบบจอแบบ Multi Monitor ให้ใส่ค่า 36000 ที่ Value data หรือใส่ค่า 40000 ถ้าเครื่องคุณมี RAM 128 MB และค่า 110000 ในกรณีที่เครื่องมี RAM เกินกว่า 128 MB แล้วคลิก OK รีสตาร์ทเครื่อง

14.(stop code 0X00000024) NTFS File System

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
     อาการนี้สาเหตุเกิดจากการรายงานผิดพลาดของ Ntfs.sys คือไดร์เวอร์ของ NTFS อ่านและเขียนข้อมูลผิดพลาด สาเหตูนี้รวมถึง การทำงานผิดพลาดของ controller ของ IDE หรือ SCSI เนื่องจากการทำงานของโปรแกรมสแกนไวรัส หรือ พื้นที่ของฮาร์ดดิสก์เสีย คุณๆสามารถทราบรายละเอียดของerror นี้ได้โดยให้เปิดดูที่ Event Viewer วิธีเปิดก็ให้ไปที่ start > run แล้วพิมพ์คำสั่ง eventvwr.msc เพื่อเปิดดู Log file ของการ error โดยให้ดูการ error ของ SCSI หรือ FASTFAT ในหมวด System หรือ Autochk ในหมวด Application
15.(stop code 0X00000050)Page Fault In Nonpaged Area

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
      อาการนี้สาเหตุการจากการผิดพลาดของการเขียนข้อมูลในแ รม การแก้ไขก็ให้ทำความสะอาดขาแรมหรือลองสลับแรมดูหรือไ ม่ก็หาโปรแกรมที่ test แรมมาตรวจว่าแรมเสียหรือไม่
16.(stop code 0Xc0000221)Status Image Checksum Mismatch

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
     อาการนี้สาเหตุมาจาก swapfile เสียหายรวมถึงไดร์เวอร์ด้วย การแก้ไขก็เหมือนข้อ 15
17.(stop code 0X000000EA)Thread Stuck In Device Driver

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
    อาการของ error นี้คือการทำงานของเครื่องจะทำงานในแบบวนซ้ำๆ กันไม่สิ้นสุด เช่นจะรีสตร์ทตลอด หรือแจ้งerror อะไรก็ได้ขึ้นมาไม่หยุด ปัญหานี้ สาเหตุอาจจะเกิดจาก Bug ของโปรแกรมหรือสาเหตุอื่นๆ เป็นร้อย การแก้ไขให้พยายามทำตามนี้

    1.ให้ดูที่ Power supply ของคุณว่าจ่ายกำลังไฟเพียงพอกับความต้องการของคอมคุณ หรือไม่ ให้ดูว่าในเครื่องคุณมีอุปกรณ์มากไปไม่เหมาะกับ Power supply ของคุณ ก็ให้เปลื่ยนตัวใหม่ให้กำลังมากขึ้น ปัญหานี้ผมเคยมีประสพการณ์แล้ว 2 ครั้ง คือ

    1.1 ประสพการณ์ครั้งแรก เกิดจากคอมเครื่องที่สอง (ผมมีคอมตั้งโต๊อยู่ 2 เครื่อง ปัจจุบันใช้ Notebook ) สเปคหลักๆนะครับ

CPU:AMD Barton 2500 (210*11=2310)

M/B:Abit A7N

Ram:1G Dual Kington

Powersupply: Enamax 465P-VE

และอุปกรณ์ตกแต่งตรึม แรกๆเครื่องก็ดีโปรแกรมหรือเกมที่ว่าหนักๆมารับได้หมด อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดอาการ error ตามข้อนี้ พยามยามแก้แล้วแก้อีก มันไม่หายสักที่ ก็บังเอิญไปเจอบทความของคุณ A-e-e แห่ง UnlimitPC ตามลิงค์นี้ http://www.unlimitpc.com/modules.php?name=...page&pid=19 ก็ลองดูที่ Bios ก็เป็นจริงอย่างคุณ A-e-e ว่าไว้ ก็ไม่รอช้าจัดการตามที่คุณ A-e-e สอน เรียบร้อยหายไม่มีอาการมากวนใจอีก ต้องขอบคุณ คุณ A-e-e มา ณ ที่นี่ด้วยครับ

-1.2 ประสพการณ์ที่สอง เกิดกับคอมเครื่องแรก สเปค

CPU:AMD T-Bred 1700 (166*11=1826)(Over clock ขึ้นสมอง

M/B:Soltek 75FRN2-RL

Ram:512MB Dual Geil

Powersupply: Enamax 351P-VE
        และอุปกรณ์ตกแต่งตรึมเหมือนกัน เครื่องก็เหมือนเคยใช้ได้ไม่มีปัญหาอยู่ก็มี error แบบนี้อีก คราวนี้ไม่กลัวเข้าใจว่าคงเหมื่อนเครื่องที่แล้วตรวจ ที่ Bios ก็เป็นเหมือนเคยก็จัดการทำการแก้ไขเหมือนเคยที่แล้วม า ผลไม่หายครับเป็นอีก นั่งงมอยู่วันเต็มๆ ด้วยถอดชิ้นส่วนเครื่องทั้งหมดมาตรวจ ก็เจอปัญหาจนได้ก็คือ ตัว Capacitor ที่เมนบอร์ดตัวที่จ่ายไฟเลี้ยง CPU บวมมีขี้เกลือเกาะเต็มไปหมด

ที่เขียนมายาวก็เพื่อเล่าประสพการณ์จริงให้รู้เพื่อคุณๆ อาจจะมีปัญหาเหมือนผมจะได้เป็นแนวทางแก้ไข

2. ให้คุณดูที่การ์ดจอว่าได้ใช้ไดร์เวอร์ตัวล่าสุด ถ้าแนใจว่าใช้ตัวล่าสุดแล้วยังมีอาการ ก็ให้ทำการ Rollback ไดร์เวอร์ตัวก่อนที่จะเกิดปัญหา

3. ตรวจดูการ์ดจอและเมนบอร์ดว่าเสียหรือไม่เช่น มีรอยไหม้, ลายวงจรขาด มีชิ้นสวนบางชิ้นหลุดจากตำแหน่งเดิม เป็นต้น

4. ดูที่ Bios ว่าส่วนของ VGA slot เลือกโหมด 4x,8x ถูกตามสเปคของการ์ดหรือไม่

5. เช็คดูที่ผู้ผลิดเมนบอร์ดว่ามีไดร์เวอร์ตัวใหม่หรือไ ม่ ถ้ามีให้โหลดลงใหม่ซะ

6. ถ้าคุณมีการ์ดแลนหรือเมนบอร์ดของคุณมี on board อยู่ให้ disable ฟังก์ชั่น "PXE Resume/Remote Wake Up" โดยไปปิดที่ BIOS

18.(stop code 0X0000007F) unexpected Kernel Mode Trap

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
        อาการนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกับนัก Overclock (ผมก็คนหนึ่ง เป็นอาการ RAM ส่งข้อมูลให้ CPU ไม่สัมพันธ์กันคือ CPU วิ่งเร็วเกินไป หรือร้อนเกินไปสาเหตุเกิดจากการ Overclock วิธีแก้ก็คือลด clock ลงมาให้เป็นปกติ หรือ หาทางระบายความร้อนจาก CPU ให้มากที่สุด

19. (stop code 0X000000ED)Unmountable Boot Volume

สาเหตุและแนวทางแก้ไข
     อาการที่วินโดวส์หาฮาร์ดดิสก์ไม่เจอ (ไม่ใช่ตัวบูตระบบ ในกรณีที่คุณมีฮาร์ดดิสก์หลายตัว หนึงในนั้นคุณอาจใช้สายแพของฮาร์ดดิสก์ผิด เช่น ฮาร์ดดิสก์เป็นแบบ 33MB/secound ซึ่งต้องใช้สายแพ 40 pin แต่คุณเอาแบบ 80 pin ไปต่อแทน
 

Credit : witcomram
http://www.thaigaming.com/attachment.php?a...mp;d=1160339942

มารู้จัก Port USB 2.0 กันดีกว่า

02:07
โครงสร้างของ USB 2.0
 
4954
     การที่ USB มีการสนับสนุนการส่งถ่ายข้อมูลหลายรูปแบบดังกล่าวจึงทำให้ USB สามารถรองรับอุปกรณ์ I/O ได้หลากหลาย เช่น เมาส์ คีย์บอร์ด กล้องถ่ายภาพ และอุปกรณ์เชื่อมต่อ ISDN นอกจากนี้ USB ยังยอมให้มีการเชื่อมต่อแบบ Hot Plug ซึ่งในที่นี้หมายถึงเราสามารถติดต ั้งอุปกรณ์ I/O ได้ทันทีโดยไม่ต้องปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เลย

ความเร็วในการถ่ายเทข้อมูลของ USB
USB มีรูปแบบความเร็วในการถ่ายเทข้อมูลได้ 2 แบบดังนี้
(1) ความเร็ว 12 MB/sec ได้แก่อุปกรณ์ความเร็วสูง เช่น Zip Drive,Scanner และ Printer
(2) ความเร็ว 1.5 MB/sec ได้แก่อุปกรณ์ความเร็วต่ำ เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ และจอยสติ๊ก

ส่วนประกอบของ USB
ส่วนประกอบขั้นพื้นฐานของ USB ทั้งทางฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ประกอบด้วย
USB ฮาร์ดแวร์
USB Controller /Root Hub
USB Hubs
อุปกรณ์ USB
USB Software
USB Device Drivers
USB Driver
Host Controller Driver

Controller /Root Hub 
    การสื่อสารข้อมูลทั้งหมดบนระบบ USB เริ่มมาจาก Host ที่ติดตั้งอยู่บนเมนบอร์ดซึ่งทำงานภายใต้การควบคุมของซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ซึ่ง Host นี้ประกอบไปด้วย USB Host Controller ซึ่งเป็นระบบควบคุมที่ทำให้เกิดการถ่ายเทข้อมูลบน USB Bus นอกจากนี้ก็มี Root Hub ซึ ่งเป็น Port ซึ่งใช้เป็นที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ USB บนเมนบอร์ด ซึ่งจะมีชิปที่ทำหน้าที่เป็น USB Host Controller ดังนี้
Open Host Controller (OHC) ได้แก่ เบอร์ 8x931
Universal Host Controller (UHC) ได้แก่ เบอร์ 80x930

Host Controller

     Host Controller มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการดูแลการขนถ่ายข้อมูลที่ถูกกำหนดโดยซอฟต์แวร์ ของ Host Controller Driver หรือ HCD ซอฟต์แวร์จะจัดสร้างรายการที่ใช้เชื่อมโยงกับชุดของข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ ในหน่วยความจำที่ได้กำหนดเรียบร้อยแล้วว่าจะมีการถ่ายเทกั นเกิดขึ้นเมื่อใด โครงสร้างของข้อมูลนี้เราเรียกว่า Transfer Descriptor ซึ่งประกอบไปด้วยข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นสำหรับ Host Controller ในอันที่จะทำให้เกิดการถ่ายเทข้อมูลขั้น ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวประกอบไปด้วย
ตำแหน่ง Address หรือที่อยู่ของอุปกรณ์ USB
ชนิดของการถ่ายเทข้อมูลว่าเป็นแบบใด
ทิศทางการไหลของข้อมูลข่าวสารว่าจะไหลจากไหนไปไหน
ตำแหน่ง Address ของ Memory Buffer สำหรับ Device Driver
เมื่อ Host Controller จะส่งข้อมูลไปที่อุปกรณ์ USB ปลายทาง ก็ทำได้โดยการอ่านข้อมูลจาก Memory Buffer ซึ่ง USB Device Driver เป็นผู้จัดสรรให้ ที่ซึ่งข้อมูลจะถูกจัดส่งไปที่อุปกรณ์ปลายทาง โดย Host Controller จะทำหน้าที่เป็นผู้แปลงข้อมูลจากขนานไปเป็นแบบอ นุกรม จากนั้นก็จัดให้มีการถ่ายเทข้อมูลโดยส่งออกไปที่ Root Hub เพื่อส่งต่อไปที่บัส
ในกรณีที่ต้องการจะอ่านข้อมูลจากอุปกรณ์ USB ตัว Host Controller จะสร้างสภาวะการติดต่อเพื่ออ่านข้อมูลขึ้น จากนั้นก็จะส่งคำขอการอ่านข้อมูลไปที่ Root Hub ซึ่ง Root Hub ก็จะส่งผ่านการขออ่านนี้ไปบน USB Bus ดังนั้นอุปกรณ์ปลายทางจะรู้ตัวว่าตัวเองกำหลังถู กเรียกใช้งานและได้รับการ้องขอให้ปลอดปล่อยข้อมูลออกมา อุปกรณ์ปลายทางนี้ก็จะปล่อยข้อมูลตามที่ต้องการไปที่ Root Hub ซึ่งก็จะส่งต่อข้อมูลนี้ไปที่ Host Controller อีกที่หนึ่ง จากนั้น Host Controller ก็จะนำข้อมูลที่ได้รับมาเป็นแบบอนุกรรมนี้มาทำการแปลงให้เป็น ขนาน จากนั้นก็จะนำไปเก็บไว้ที่ Memory Buffer ของ Device Driver อีกทีหนึ่ง

Root Hub
    การติดต่อเพื่อสื่อสารข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นโดย Host Controller จะถูกส่งต่อไปที่ Root Hub เพื่อให้ส่งต่อไปที่ USB Bus ซึ่งเป็นที่ ๆ อุปกรณ์ USB ได้เชื่อมต่อกับตัว Root Hub ซึ่งจัดได้ว่าเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญสำหรับอุปกรณ์ USB และมีหน้าที่ทำงานหลักดัง นี้
ควบคุมการเชื่อมต่อที่ USB Port
ทำหน้าที Enable/Disable Port (ทำให้ Port ทำงานหรือไม่ทำงาน)
ทำหน้าที่ตรวจสอบดูว่าแตะละ Port ของ Root Hub ติดตั้งอุปกรณ์อะไรบ้าง
สามารถจัดตั้งหรือรายงานสถานะของแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะทำงานของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ Port ต่าง ๆ

USB Hubs
    นอกเหนือจาก Root Hub แล้ว ระบบ USB ยังสนับสนุน Hub อีกแบบหนึ่งซึ่งเป็นส่วนขยายของระบบ USB จุดประสงค์เพื่อขยายขนาดการเชื่อมต่อเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ USB ได้มากยิ่งขึ้น ลักษณะการเชื่อมต่อจะเป็นแบบพ่วง Hub กันไปเรื่อย ๆ Hub ต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกับ Root Hub นี้มีไว้เพื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ USB ต่าง ๆ เช่นคีย์บอร์ดหรือจอภาพ ยิ่งไปกว่านั้น Hub เหล่านี้สามารถมีแหล่งจ่ายไฟเป็นของตนเองเป็นการเฉพาะ หรือจะใช้แรงดันไฟจากสาย USB ก็ได้ การจ่ายไฟให้กับ Hub เหล่านี้โดยผ่านทางสาย USB จะมีข้อจำกัดปริมาณของกำลังงานที่จ่ายออกมาที่ Bus และ ด้วยกำลังที่จ่ายออกมาที่ Bus นี้เองทำให้เกิดข้อจำกัดที่ไม่สามารถติดตั้งได้เกิน 4 USB Port ส่วนประกอบของ Hub มี 2 แบบดังนี้
Hub Controller
Hub Repeater

1. Hub Controller
     ประกอบไปด้วย USB Interface ซึ่งเป็นแผงควบคุมภายใน Hub บางทีจะเรียกว่า Serial Interface Engine (SIE) ซึ่งแผงควบคุมนี้จะติดตั้ง Firmware ซึ่งเป็นอุปกรณ์หน่วยความจำประเภท EEPROM ที่สามารถโปรแกรมได้ ภายในหน่วยความจำประกอบด้วยข้อมูลข่าวสารเรียกว่า Descri ptor ที่มีไว้เพื่อใช้ซอฟต์แวร์อ่านเพื่อพิสูจน์ความมีตัวตนของอุปกรณ์ที่เชื่อม ต่อกับ Port ของ Hub นอกจากนี้ Hub Controller ยังรวบรวมเอาข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานะของ Hub และ Port ซึ่งซอฟต์แวร์ของ USB Host นำไปใช้เพื่อตรวจสอบดูว่าอุปกรณ์มีการเชื่อมต่อหรือไ ด้ถอดออกไปจาก Port ของ Hub แล้ว รวมทั้งตรวจสอบดูสถานะการทำงานของ Hub นอกจากนี้ Hub Controller ยังรับเอาคำสั่งจากซอฟต์แวร์ของ Host เพื่อควบคุมการทำงานของ Hub ได้อีกด้วย

2. Hub Repeater 
    ข้อมูลข่าวสารที่วิ่งอยู่บน USB Bus จะต้องวิ่งไปข้างหน้า ไม่ว่าจะวิ่งไปตามกระแสจากล่างขึ้นบน(วิ่งจากอุปกรณ์ไปยัง Host) หรือวิ่งไปตามกระแสลงข้างล่าง (วิ่งจาก Host มายังอุปกรณ์ USB) โดยที่การส่งกระจายข้อมูลจาก Host จะต้องวิ่งไปที่ Root Port ของ Hub และ จะวิ่งไปยัง Port ทั้งหมดของ Hub ที่ยังทำงานอยู่ เมื่ออุปกรณ์ USB ปลายทางได้รับการติดต่อจาก Host แล้ว จะส่งข่าวสารที่เป็นการตอบสนอง วิ่งเป็นกระแสขึ้นบนกลับมาที่ Host โดยที่ Hub จะส่งต่อไปที่ Port ของ USB ที่เชื่อมต่อกับ Root Hub(เรียกว่า Downstream Port) เพื่อส่งต่อไปที่ Root Hub จากนั้น Root Hub ก็จะส่งต่อไปที่ Host อีกทีหนึ่ง

ชนิดของการถ่ายเทข้อมูลบน USB
     USB สามารถตอบสนองความต้องการที่จะส่งถ่ายข้อมูลหลากหลายชนิดจากแอพพลิเคชัน ซึ่งในระบบ USB สามารถมีระบบการถ่ายเทข้อมูลได้ 4 แบบ ดังนี้
-  Interrupt Transfer-Interrupt Transfer 
-  Bulk Transfer-Bulk Transfer
-  Isochronous Transfer
-  Control Transfer-Control Transfer

การเชื่อมต่อและสาย
    USB Connector ได้ถูกออกแบบมาเพื่อยอมให้อุปกรณ์รอบข้างหรือ Peripheral สามารถเชื่อมต่อเข้ามาที่ทางช่องเสียบของฮับได้ ช่องเสียบของฮับนี้ติดตั้งอยู่ที่ด้านหลังของคอมพิวเตอร์ หรืออาจเกี่ยวพันกับอุปกรณ์รอบข้างอื่น ๆ เช่น จอภาพ และ เครื่องพิมพ์ หรืออาจจะเป ็นช่องเสียบของฮับแบบโดดเดี่ยว

    1 Connector
   อุปกรณ์รอบข้างแบบ USB จะต้องมีการเชื่อมต่อกับช่องเสียบด้วยสัญญาณหาก Connector ที่ปลายทั้งสองด้านของสาย USB เป็นแบบเดียวกัน ก็แสดงว่ามีการเชื่อมต่อสายระหว่างช่องเสียบ USB มาตรฐาน USB ซึ่งได้ออกแบบ Connector เพื่อใช้งานอยู่ 2 แบบ
(1) Series A Connector เป็น Connector เพื่อการเชื่อมต่อระหว่าง USB Port กับสายเชื่อมต่ออุปกรณ์รอบข้าง (Peripheral)
(2) Series B Connector ถูกนำมาใช้กับอุปกรณ์รอบข้าง
แสดงลักษณะของ USB Port ที่ด้านหลังของคอมพิวเตอร์

   2 สายของ USB
   มาตรฐานของ USB ได้กำหนดอัตราความเร็วสูงสุดสำหรับช่องทาง USB ไว้ที่ 12 MB/s ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดและช่องทางย่อยที่ความเร็ว 1.5 MB/s สายสัญญาณที่ใช้เพื่อการถ่ายเทที่ความเร็วสูงสุดจะต้องถูกออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันสัญญาณรับกวนจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ขณะ ที่สายสัญญาณที่ใช้เพื่อการส่งข้อมูลความเร็วต่ำถูกนำมาใช้กับการเชื่อม อุปกรณ์ความเร็วต่ำ เช่น เมาส์และคีย์บอร์ด
   (1) สายสัญญาณสำหรับส่งถ่ายข้อมูลความเร็วต่ำ สายสัญญาณชนิดนี้จะส่งผ่านข้อมูลต่ำที่ความเร็ว 1.5 MB/s ถูกนำมาใช้งานที่ไม่ต้องการแบนด์วิดธ์หรือช่องสัญญาณกว้าง และความยาวของสายสัญญาณจะต้องไม่เกิน 3 เมตร ขนาดของเส้นลวดคือ 28 AWG
   (2) สายสัญญาณสำหรับส่งถ่ายข้อมูลความเร็วสูง สายสัญญาณประเภทนี้เป็นสายตีเกลียวประเภท Shieled Twisted Pair หรือ สายตีเกลียวที่ห่อหุ้มด้วยสื่อที่ป้องกันสัญญาณรบกวน รวมทั้งสายแบบธรรมดา สายสัญญาณประเภทนี้มีระยะทางสูงสุดไม่เกิน 5 เมตร อีกทั้งมี Propagation Delay ไม่เกิน 30 ns เมื่อทำงานที่ความถี่ตั้งแต่ 1-16 MHz

   รู้อย่างนี้แล้ว ยังมีช่องอีก 2 เส้น จะใช้ทำอะไรดีน๊อ เพื่อนสามารถดัดแปลงกันได้ครับ ที่เห็น ๆกันคือพัดลม อิๆ....

credit : http://www.svoa.co.th/st_article_info.php?id=103