Peeb Code Post (เสียงบ่งบอกอาการเสียของคอมพิวเตอร์)

20:21
   Peeb Code Post คืออะไร ผมขอพูดแบบลูกทุ่ง ๆแล้วกันนะครับ มันคือเสียงที่แจ้งบอกให้เรารู้ว่า อุปกรณ์ตัวใดมีปัญหา แล้วมันจะแจ้งเป็นจังหวะ (สามช่าป่าวหว่า) คงไม่ใช่ที่คิดครับบ เสียงที่แจ้งนั้นจะเป็นเสียงถี่ สั้น หรือยาวนั้นขึ้นอยู่กับเมนบอร์ดด้วยและอุปกรณ์ด้วยครับ เพื่อไม่เป็นการพร่ำไปมากกว่านี้ เราไปดูกันครับว่า เสียงแบบนี้บ่งบอกอะไร
ตัวอย่าง : Beep Code ของ Aword
จังหวะเสียง ความหมาย


เสียงดัง 1 ครั้ง แสดงว่าขั้นตอนการบูตเครื่องหรือขั้นตอน Post เป็นปกติ


เสียงดัง 2 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแรม เช่น เสียบไม่แน่นหรือแรมเสียทำให้บูตเครื่องไม่ผ่าน ควรตรวจสอบแรม


เสียงดัง 3 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแรม เช่น เสียบไม่แน่นหรือแรมเสียทำให้บูตเครื่องไม่ผ่าน ควรตรวจสอบแรม


เสียงดังต่อเนื่อง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแหล่งจ่ายไฟ เช่น เพาเวอร์ซัพพลาย หรือเมนบอร์ดอาจมีปัญหา ให้ตรวจสอบ เพาเวอร์ซัพพลาย และเมนบอร์ด


เสียงดังถี่ ๆ แสดงว่ามีปัญหาในส่วนเมนบอร์ดให้ตรวจสอบสายสัญญาณต่าง ๆ และตัวเมนบอร์ด


เสียงดัง 6 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของคีย์บอร์ด ให้ตรวจสอบคีย์บอร์ด


เสียงดัง 7 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของซีพียู อาจต้องเปลี่ยนซีพียูใหม่


เสียงดัง 8 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการ์ดแสดงผล ( VGA ) ตรวจสอบการ์ดแสดงผลว่าเสียบแน่นดีหรือไม่ หากยังไม่ได้ผลอาจต้องเปลี่ยนการ์ดแสดงผลใหม่


เสียงดังยาว 1 สั้น 2 แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการ์ดแสดงผล ( VGA ) ตรวจสอบการ์ดแสดงผลว่าเสียบแน่นดีหรือไม่ หากยังไม่ได้ผลอาจต้องเปลี่ยนการ์ดแสดงผลใหม่


เสียงดัง 9 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของไบออส อาจต้องเปลี่ยนไบออสใหม่


เสียงดัง 10 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการเขียน CMOS อาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่


เสียงดัง 11 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนในส่วนของหน่วยความจำแคช ควรตรวจสอบแคชภายนอกบนเมนบอร์ด


ไม่มีเสียง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของ เพาเวอร์ซัพพลาย, เมนบอร์ด หรือซีพียู รวมถึงสายสัญญาณ และสายไฟต่าง ๆ

ตัวอย่าง : ตาราง Beep Code ของ AMI

         สำหรับจังหวะสัญญาณ Beep Code ของไบออส ยี่ห้อ AMI นั้นค่อนข้างมีส่วนคล้ายกับของไบออสยี่ห้อ Award อยู่พอสมควร เพราะจังหวะ สัญญาณนั้นฟังได้ง่ายไม่ซับซ้อนโดยแต่ละสัญญาณเสียงที่เป็นปัญหาหลัก ๆ จะมีความหมายดังนี้
------------------------------------------------------------------------------



จังหวะเสียง ความหมาย


เสียงดัง 1 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของเมนบอร์ด อาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่


เสียงดัง 2 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแรม เช่น เสียบไม่แน่นหรือแรมเสียทำให้บูตเครื่องไม่ผ่าน ควรตรวจสอบแรม


เสียงดัง 3 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของแรม เช่น เสียบไม่แน่นหรือแรมเสียทำให้บูตเครื่องไม่ผ่าน ควรตรวจสอบแรม


เสียงดัง 4ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของชิพ Timmer อาจต้องเปลี่ยนชิพหรือเมนบอร์ดใหม่


เสียงดัง 5 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของซีพียู อาจต้องเปลี่ยนซีพียูใหม่


เสียงดัง 6 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของชิพควบคุมคีย์บอร์ดเสีย หรือไม่อาจเป็นที่ตัวคีย์บอร์ดเอง อาจต้องเปลี่ยนชิพ,เมนบอร์ด หรือคีย์บอร์ดใหม่


เสียงดัง 7 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนในส่วนของซีพียู อจต้องเปลี่ยนซีพียูใหม่


เสียงดัง 8 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการ์ดแสดงผล ( VGA ) ตรวจสอบการ์ดแสดงผลว่าเสียบแน่นดีหรือไม่ หากยังไม่ได้ผลอาจต้องเปลี่ยนการ์ดแสดงผลใหม่


เสียงดัง 9 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของไบออส อาจต้องเปลี่ยนไบออสใหม่


เสียงดัง 10 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการเขียน CMOS อาจต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่


เสียงดัง 11 ครั้ง แสดงว่ามีปัญหาในส่วนในส่วนของหน่วยความจำแคช ควรตรวจสอบแคชภายนอกบนเมนบอร์ด


เสียงดังสั้น ๆ 2 ครั้ง เสียงดังยาว 1 สั้น 2 แสดงว่ามีปัญหาในขั้นตอนการ Post ที่มีบางขั้นตอนไม่ผ่าน แสดงว่ามีปัญหาในส่วนของการ์แสดงผล ( VGA ) ตรวจสอบการ์ดแสดงผลว่าเสียบแน่นดีหรือไม่ หากยังไม่ได้ผลอาจต้องเปลี่ยนการ์ดแสดงผลใหม่


เสียงดังยาว ๆ 1 ครั้ง แสดงว่าขั้นตอนการบูตเครื่องหรือขั้นตอนการ Post เป็นปกติ






เมื่อคอมพิวเตอร์โดนไวรัส

20:23
     เมื่อรู้ว่าคอมพิวเตอร์โดนไวัสแล้วทำอย่างไร บางท่านกำลังคิดในใจว่าปล่อยไว้งั้นแหละ แล้วค่อยซ่อม ใช้ไปก่อนแล้วกัน อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งคำตอบ แต่รู้ไหมครับว่า เมื่อโดนไวรัสแล้ว ไวรัสบางตัว มันจะลามไปเกาะไฟล์ต่าง ๆของเรา แล้วยิ่งถ้าตอนนั้นโปรแกรมแอนตี้ไวรัสของเรานั้นทำงานเต็มประสิทธิภาพ แบบว่าอัพเดทใหม่ ๆ (ทั้งๆที่ไม่่ยอมไปลบไวรัสซะงั้น) ตัวโปรแกรมแอนตี้ไวรัสก็จะตามไปลบไฟล์ของเราที่มีไวรัสไปเกาะครับ สังเกตุได้ว่า โปรแกรมของเราโหลดมาไว้ใน Harddisk พอคลิก Setup แล้วฟ้อง Error ซะงั้น กำแล้วงัย นั่นแหละครับไวรัสเล่นงาน และชอบเล่นงานไฟล์จำพวก .exe ซะด้วย มาดูครับว่าเราพอทำอะไรได้บ้าง
1. ถ้า windows ยังไม่ล่ม ก็ทำการ BACKUP ข้อมูลไว้ก่อนครับ
2. ถ้าหากว่าโปรแกรม antivirus ไปลบไฟล์ของเราเรื่อย ๆ นั้นก็ปล่อยไว้ก่อนครับ เพราะว่าตอนนี้สคริปไวรัสมันรันอยู่ และก็ไวรัสนั้นไม่ได้เกาะไฟล์อะไรรวดเร็วขนาดนั้นครับ เพราะถ้าไวรัสเกาะไฟล์ของแล้ว เมื่อเราเรียกใช้งาน ยังงัยไวรัสก็รันมาใหม่อยู่ดีครับ
2. ถ้า windows ล่มแล้ว ให้หาแผ่น Boot มาใช้งาน เพื่อที่จะ backup ข้อมูลเก็บไว้
3. ลง Windows ใหม่ หรือถ้ามี Ghos อยู่ก็ GHOS ใหม่ครับ (อันนี้จะสะดวกหนอ่ย) เวลาลง Windows ก็ถอดสาย Lan ออกก่อนก็ดีเหมือนกันครับ เพราะตอนลง windows ตัว Mulware จะลงได้
4.เมื่อลงระบบปฏิบัติการเรียบร้อยแล้วก็ลงโปรแกรมและ Driver ให้เรียบร้อย จากนั้นเราก็ทำการอัพเดท โปรแกรมแอนตี้ไวรัสให้ล่าสุด แล้วก็สแกน ทุก Drive ครับ เพราะบางทียังมีไฟล์ไวรัสอยู่ในไดร์ต่าง ๆที่ไม่ใช่ Drive C:
5.ถ้ามีไวรัส ก็ลบให้เรียบครับ

อาการ Blue Screen แก้ไขอย่างไร

19:03
  อาการ Blue Screen นั้นหน้าตาแบบไหน ก็สีฟ้าแน่นอนเลย คุณอาจจะคิดอย่างนั้น ก็ถูกครับแต่อาการนี้ เป็นอาการที่ ใครหลาย ๆคนไม่อยากจะเจอกันเลยทีเดียว เพราะว่ามันขึ้นจอฟ้ามาเลยอย่างที่คิดนั่นแหละครับ แล้วก็บอกโค้ดอะไรก็ไม่รู้ เยอะไปหมดสรุปแล้ว มันเป็นอะไร เราไปดูก่อนแล้วกันครับว่าหน้าตามันเป็นยังงัย
     หน้าตาก็ประมาณนี้ครับขี้นมาเฉยเลย อาการแบบนี้ส่วนมาจะมีปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์และไดร์เวอร์ซะส่วนใหญ่ไปดูกันว่าโค้ดที่ม้นฟ้องขึนมาเราแก้กันอย่างไร

1.(stop code 0X000000BE)Attempted Write To Readonly Memory


สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

            อาการนี้เกิดจากการลง driver หรือ โปรแกรม หรือ service ที่ผิดพลาด เช่น ไฟล์บางไฟล์เสีย ไดร์เวอร์คนละรุ่นกัน ทางแก้ไขให้ uninstall โปรแกรมตัวที่ลงก่อนที่จะเกิดปัญหานี้ ถ้าเป็นไดร์เวอร์ก็ให้ทำการ roll back ไดร์เวอร์ตัวเก่ามาใช้ หรือ หาไดร์เวอร์ที่ล่าสุดมาลง (กรณีที่มีใหม่กว่า ถ้าเป็นพวก service ต่างๆที่เราเปิดก่อนเกิดปัญหาก็ให้ทำการปิด หรือ disable ซะ
2.(stop code 0X000000C2) Bad Pool Caller

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

             ตัวนี้จะคล้ายกับตัวข้างบน แต่เน้นที่พวก hardware คือเกิดจากอัฟเกรดเครื่องพวก Hardware ต่าง เช่น ram ,harddisk การ์ดต่างๆ ไม่ compatible กับ XP ทางแก้ไขก็ให้เอาอุปกรณ์ที่อัฟเกรดออก ถ้าจำเป็นต้องใช้ก็ให้ลงไดร์เวอร์ หรือ อัฟเดท firmware ของอุปกรณ์นั้นใหม่ และคำเตือนสำหรับการจะอัฟเดท ให้ปิด anti-virus ด้วยนะครับ เดียวมันจะยุ่งเพราะพวกโปรแกรม anti-virus มันจะมองว่าเป็นไวรัส


3.(stop code 0X0000002E) Data Bus Error

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

         อาการนี้เกิดจากการส่งข้อมูลที่เรียกว่า BUS ของฮาร์แวร์เสียหาย ซึ่งได้แก่ ระบบแรม ,Cache L2 ของซีพียู , เมมโมรีของการ์ดจอ, ฮาร์ดดิสก์ทำงานหนักถึงขั้น error (ร้อนเกินไป และเมนบอร์ดเสีย


4.(stop code 0X000000D1)Driver IRQL Not Less Or Equal

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

        อาการไดร์เวอร์กับ IRQ(Interrupt Request ) ไม่ตรงกัน การแก้ไขก็เหมือนกับ error ข้อที่ 1

5. (stop code 0X0000009F)Driver Power State Failure

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

         อาการนี้เกิดจาก ระบบการจัดการด้านพลังงานกับไดรเวอร์ หรือ service ขัดแย้งกัน เมื่อคุณให้คอมทำงานแบบ"Hibernate" แนวทางแก้ไข ถ้าวินโดวส์แจ้ง error ไดร์เวอร์หรือ service ตัวไหนก็ให้ uninstall ตัวนั้น หรือจะใช้วิธี Rollback driver หรือ ปิดระบบจัดการพลังงานของวินโดวส์ซะ

6.(stop code 0X000000CE) Driver Unloaded Without Cancelling Pending Operations

สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการไดร์เวอร์ปิดตัวเองทั้งๆ ทีวินโดวส์ยังไม่ได้สั่ง การแก้ไขให้ทำเหมือนข้อ 1

7.(stop code 0X000000F2)Hardware Interrupt Storm

สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการที่เกิดจากอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เช่น USB หรือ SCSI controller จัดตำแหน่งกับ IRQ ผิดพลาด สาเหตุจากไดร์เวอร์หรือ Firmware การแก้ไขเหมือนกับข้อ 1
8.(stop code 0X0000007B)Inaccessible Boot Device

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:

       อาการนี้จะมักเจอตอนบูตวินโดวส์ จะมีข้อความบอกว่าไม่สามารถอ่านข้อมูลของไฟล์ระบบหรือ Boot partitions ได้ ให้ตรวจฮาร์ดดิสก์ว่าปกติหรือไม่ สายแพหรือสายไฟที่เข้าฮาร์ดดิสก์หลุดหรือไม่ ถ้าปกติดีก็ให้ตรวจไฟล์ Boot.ini อาจจะเสีย หรือไม่ก็มีการทำงานแบบ Multi OS ให้ตรวจดูว่าที่ไฟล์นี้อาจเขียน Config ของ OS ขัดแย้งกัน
      อีกกรณีหนึ่งที่เกิด error นี้ คือเกิดขณะ upgrade วินโดวส์ สาเหตุจากมีอุปกรณ์บางตัวไม่ Compatible ให้ลองเอาอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นหรือคิดว่ามีปัญหาออก เมื่อทำการ upgrade วินโดวส์ เรียบร้อย ค่อยเอาอุปกรณ์ที่มีปัญหาใส่กลับแล้วติดตั้งด้วยไดร์ เวอร์รุ่นล่าสุด


9. (stop code 0X0000007A) Kernel Data Inpage Error

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
         อาการนี้เกิดมีปัญหากับระบบ virtual memory คือวินโดวส์ไม่สามารถอ่านหรือเขียนข้อมูลที่ swapfile ได้ สาเหตุอาจเกิดจากฮาร์ดดิสก์เกิด bad sector, เครื่องติดไวรัส, ระบบ SCSI ผิดพลาด, RAM เสีย หรือ เมนบอร์ดเสีย

10.(stop code 0X00000077)Kernel Stack Inpage Error

สาเหตุและแนวทางแก้ไข: อาการและสาเหตุเดียวกับข้อ 9


11.(stop code 0X0000001E)Kmode Exception Not Handled

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
         อาการนี้เกิดการทำงานที่ผิดพลาดของไดร์เวอร์ หรือ service กับ หน่วยความจำ และ IRQ ถ้ามีรายชื่อของไฟล์หรือ service แสดงออกมากับ error นี้ให้ทำการ uninstall โปรแกรมหรือทำการ Roll back ไดร์เวอร์ตัวนั้น   ถ้ามีการแจ้งว่า error ที่ไฟล์ win32k สาเหตุเกิดจาก การ control software ของบริษัทอื่นๆ (Third-party) ที่ไม่ใช้ของวินโดวส์ ซึ่งมักจะเกิดกับพวก Networking และ Wireless เป็นส่วนใหญ่
Error นี้อาจจะเกิดสาเหตุอีกอย่าง นั้นคือการ run โปรแกรมต่างๆ แต่หน่วยความจำไม่เพียงพอ
12.(stop code 0X00000079)Mismatched Hal

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
        อาการนี้เกิดการทำงานผิดพลาดของ Hardware Abstraction Layer (HAL) มาทำความเข้าใจกับเจ้า HAL ก่อน HAL มีหน้าที่เป็นตัวจัดระบบติดต่อระหว่างฮาร์ดแวร์กับซอ ฟท์แวร์ว่าแอปพลิเคชั่นตัวไหนวิ่งกับอุปกรณ์ตัวไหนให ้ถูกต้อง ยกตัวอย่าง คุณมีซอฟท์แวร์ที่ออกแบบไว้ใช้กับ Dual CPU มาใช้กับเมนบอร์ดที่เป็น Single CPU วินโดว์ก็จะไม่ทำงาน วิธีแก้คือ reinstall วินโดวส์ใหม่
        สาเหตุอีกประการการคือไฟล์ที่ชื่อ NToskrnl.exe หรือ Hal.dll หมดอายุหรือถูกแก้ไข ให้เอา Backup ไฟล์ หรือเอา original ไฟล์ที่คิดว่าไม่เสียหรือเวอร์ชั่นล่าสุดก๊อปปี้ทับไ ฟล์ที่เสีย
13.(stop code 0X0000003F)No More System PTEs

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
        อาการนี้เกิดจากระบบ Page Table Entries (PTEs) ทำงานโดย Virtual Memory Manager (VMM) ผิดพลาด ทำให้วินโดวส์ทำงานโดยไม่มี PTEs ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับวินโดวส์ อาการนี้มักจะเกิดกับการที่คุณทำงานแบบ multi monitors  ถ้าคุณเกิดปัญหานี้บ่อยครั้ง คุณสามารถปรับแต่ง PTEs ได้ใหม่ ดังนี้

1. ให้เปิด Registry ขึ้นมาแก้ไข โดยไปที่ Start > Run แล้วพิมพ์คำสั่ง Regedit

2. ไปตามคีย์นี้ HKEY_LOCAL_MACHINESYSTEMCurrentControlSetControlSe ssion ManagerMemory Management

3. ให้ดูที่หน้าต่างขวามือ ดับคลิกที่ PagedPoolSize ให้ใส่ค่าเป็น 0 ที่ Value data และคลิก OK

4. ดับเบิลคลิกที่ SystemPages ถ้าคุณใช้ระบบจอแบบ Multi Monitor ให้ใส่ค่า 36000 ที่ Value data หรือใส่ค่า 40000 ถ้าเครื่องคุณมี RAM 128 MB และค่า 110000 ในกรณีที่เครื่องมี RAM เกินกว่า 128 MB แล้วคลิก OK รีสตาร์ทเครื่อง

14.(stop code 0X00000024) NTFS File System

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
     อาการนี้สาเหตุเกิดจากการรายงานผิดพลาดของ Ntfs.sys คือไดร์เวอร์ของ NTFS อ่านและเขียนข้อมูลผิดพลาด สาเหตูนี้รวมถึง การทำงานผิดพลาดของ controller ของ IDE หรือ SCSI เนื่องจากการทำงานของโปรแกรมสแกนไวรัส หรือ พื้นที่ของฮาร์ดดิสก์เสีย คุณๆสามารถทราบรายละเอียดของerror นี้ได้โดยให้เปิดดูที่ Event Viewer วิธีเปิดก็ให้ไปที่ start > run แล้วพิมพ์คำสั่ง eventvwr.msc เพื่อเปิดดู Log file ของการ error โดยให้ดูการ error ของ SCSI หรือ FASTFAT ในหมวด System หรือ Autochk ในหมวด Application
15.(stop code 0X00000050)Page Fault In Nonpaged Area

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
      อาการนี้สาเหตุการจากการผิดพลาดของการเขียนข้อมูลในแ รม การแก้ไขก็ให้ทำความสะอาดขาแรมหรือลองสลับแรมดูหรือไ ม่ก็หาโปรแกรมที่ test แรมมาตรวจว่าแรมเสียหรือไม่
16.(stop code 0Xc0000221)Status Image Checksum Mismatch

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
     อาการนี้สาเหตุมาจาก swapfile เสียหายรวมถึงไดร์เวอร์ด้วย การแก้ไขก็เหมือนข้อ 15
17.(stop code 0X000000EA)Thread Stuck In Device Driver

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
    อาการของ error นี้คือการทำงานของเครื่องจะทำงานในแบบวนซ้ำๆ กันไม่สิ้นสุด เช่นจะรีสตร์ทตลอด หรือแจ้งerror อะไรก็ได้ขึ้นมาไม่หยุด ปัญหานี้ สาเหตุอาจจะเกิดจาก Bug ของโปรแกรมหรือสาเหตุอื่นๆ เป็นร้อย การแก้ไขให้พยายามทำตามนี้

    1.ให้ดูที่ Power supply ของคุณว่าจ่ายกำลังไฟเพียงพอกับความต้องการของคอมคุณ หรือไม่ ให้ดูว่าในเครื่องคุณมีอุปกรณ์มากไปไม่เหมาะกับ Power supply ของคุณ ก็ให้เปลื่ยนตัวใหม่ให้กำลังมากขึ้น ปัญหานี้ผมเคยมีประสพการณ์แล้ว 2 ครั้ง คือ

    1.1 ประสพการณ์ครั้งแรก เกิดจากคอมเครื่องที่สอง (ผมมีคอมตั้งโต๊อยู่ 2 เครื่อง ปัจจุบันใช้ Notebook ) สเปคหลักๆนะครับ

CPU:AMD Barton 2500 (210*11=2310)

M/B:Abit A7N

Ram:1G Dual Kington

Powersupply: Enamax 465P-VE

และอุปกรณ์ตกแต่งตรึม แรกๆเครื่องก็ดีโปรแกรมหรือเกมที่ว่าหนักๆมารับได้หมด อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดอาการ error ตามข้อนี้ พยามยามแก้แล้วแก้อีก มันไม่หายสักที่ ก็บังเอิญไปเจอบทความของคุณ A-e-e แห่ง UnlimitPC ตามลิงค์นี้ http://www.unlimitpc.com/modules.php?name=...page&pid=19 ก็ลองดูที่ Bios ก็เป็นจริงอย่างคุณ A-e-e ว่าไว้ ก็ไม่รอช้าจัดการตามที่คุณ A-e-e สอน เรียบร้อยหายไม่มีอาการมากวนใจอีก ต้องขอบคุณ คุณ A-e-e มา ณ ที่นี่ด้วยครับ

-1.2 ประสพการณ์ที่สอง เกิดกับคอมเครื่องแรก สเปค

CPU:AMD T-Bred 1700 (166*11=1826)(Over clock ขึ้นสมอง

M/B:Soltek 75FRN2-RL

Ram:512MB Dual Geil

Powersupply: Enamax 351P-VE
        และอุปกรณ์ตกแต่งตรึมเหมือนกัน เครื่องก็เหมือนเคยใช้ได้ไม่มีปัญหาอยู่ก็มี error แบบนี้อีก คราวนี้ไม่กลัวเข้าใจว่าคงเหมื่อนเครื่องที่แล้วตรวจ ที่ Bios ก็เป็นเหมือนเคยก็จัดการทำการแก้ไขเหมือนเคยที่แล้วม า ผลไม่หายครับเป็นอีก นั่งงมอยู่วันเต็มๆ ด้วยถอดชิ้นส่วนเครื่องทั้งหมดมาตรวจ ก็เจอปัญหาจนได้ก็คือ ตัว Capacitor ที่เมนบอร์ดตัวที่จ่ายไฟเลี้ยง CPU บวมมีขี้เกลือเกาะเต็มไปหมด

ที่เขียนมายาวก็เพื่อเล่าประสพการณ์จริงให้รู้เพื่อคุณๆ อาจจะมีปัญหาเหมือนผมจะได้เป็นแนวทางแก้ไข

2. ให้คุณดูที่การ์ดจอว่าได้ใช้ไดร์เวอร์ตัวล่าสุด ถ้าแนใจว่าใช้ตัวล่าสุดแล้วยังมีอาการ ก็ให้ทำการ Rollback ไดร์เวอร์ตัวก่อนที่จะเกิดปัญหา

3. ตรวจดูการ์ดจอและเมนบอร์ดว่าเสียหรือไม่เช่น มีรอยไหม้, ลายวงจรขาด มีชิ้นสวนบางชิ้นหลุดจากตำแหน่งเดิม เป็นต้น

4. ดูที่ Bios ว่าส่วนของ VGA slot เลือกโหมด 4x,8x ถูกตามสเปคของการ์ดหรือไม่

5. เช็คดูที่ผู้ผลิดเมนบอร์ดว่ามีไดร์เวอร์ตัวใหม่หรือไ ม่ ถ้ามีให้โหลดลงใหม่ซะ

6. ถ้าคุณมีการ์ดแลนหรือเมนบอร์ดของคุณมี on board อยู่ให้ disable ฟังก์ชั่น "PXE Resume/Remote Wake Up" โดยไปปิดที่ BIOS

18.(stop code 0X0000007F) unexpected Kernel Mode Trap

สาเหตุและแนวทางแก้ไข:
        อาการนี้ส่วนใหญ่จะเป็นกับนัก Overclock (ผมก็คนหนึ่ง เป็นอาการ RAM ส่งข้อมูลให้ CPU ไม่สัมพันธ์กันคือ CPU วิ่งเร็วเกินไป หรือร้อนเกินไปสาเหตุเกิดจากการ Overclock วิธีแก้ก็คือลด clock ลงมาให้เป็นปกติ หรือ หาทางระบายความร้อนจาก CPU ให้มากที่สุด

19. (stop code 0X000000ED)Unmountable Boot Volume

สาเหตุและแนวทางแก้ไข
     อาการที่วินโดวส์หาฮาร์ดดิสก์ไม่เจอ (ไม่ใช่ตัวบูตระบบ ในกรณีที่คุณมีฮาร์ดดิสก์หลายตัว หนึงในนั้นคุณอาจใช้สายแพของฮาร์ดดิสก์ผิด เช่น ฮาร์ดดิสก์เป็นแบบ 33MB/secound ซึ่งต้องใช้สายแพ 40 pin แต่คุณเอาแบบ 80 pin ไปต่อแทน
 

Credit : witcomram
http://www.thaigaming.com/attachment.php?a...mp;d=1160339942

มารู้จัก Port USB 2.0 กันดีกว่า

02:07
โครงสร้างของ USB 2.0
 
4954
     การที่ USB มีการสนับสนุนการส่งถ่ายข้อมูลหลายรูปแบบดังกล่าวจึงทำให้ USB สามารถรองรับอุปกรณ์ I/O ได้หลากหลาย เช่น เมาส์ คีย์บอร์ด กล้องถ่ายภาพ และอุปกรณ์เชื่อมต่อ ISDN นอกจากนี้ USB ยังยอมให้มีการเชื่อมต่อแบบ Hot Plug ซึ่งในที่นี้หมายถึงเราสามารถติดต ั้งอุปกรณ์ I/O ได้ทันทีโดยไม่ต้องปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เลย

ความเร็วในการถ่ายเทข้อมูลของ USB
USB มีรูปแบบความเร็วในการถ่ายเทข้อมูลได้ 2 แบบดังนี้
(1) ความเร็ว 12 MB/sec ได้แก่อุปกรณ์ความเร็วสูง เช่น Zip Drive,Scanner และ Printer
(2) ความเร็ว 1.5 MB/sec ได้แก่อุปกรณ์ความเร็วต่ำ เช่น คีย์บอร์ด เมาส์ และจอยสติ๊ก

ส่วนประกอบของ USB
ส่วนประกอบขั้นพื้นฐานของ USB ทั้งทางฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ประกอบด้วย
USB ฮาร์ดแวร์
USB Controller /Root Hub
USB Hubs
อุปกรณ์ USB
USB Software
USB Device Drivers
USB Driver
Host Controller Driver

Controller /Root Hub 
    การสื่อสารข้อมูลทั้งหมดบนระบบ USB เริ่มมาจาก Host ที่ติดตั้งอยู่บนเมนบอร์ดซึ่งทำงานภายใต้การควบคุมของซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ซึ่ง Host นี้ประกอบไปด้วย USB Host Controller ซึ่งเป็นระบบควบคุมที่ทำให้เกิดการถ่ายเทข้อมูลบน USB Bus นอกจากนี้ก็มี Root Hub ซึ ่งเป็น Port ซึ่งใช้เป็นที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ USB บนเมนบอร์ด ซึ่งจะมีชิปที่ทำหน้าที่เป็น USB Host Controller ดังนี้
Open Host Controller (OHC) ได้แก่ เบอร์ 8x931
Universal Host Controller (UHC) ได้แก่ เบอร์ 80x930

Host Controller

     Host Controller มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการดูแลการขนถ่ายข้อมูลที่ถูกกำหนดโดยซอฟต์แวร์ ของ Host Controller Driver หรือ HCD ซอฟต์แวร์จะจัดสร้างรายการที่ใช้เชื่อมโยงกับชุดของข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ ในหน่วยความจำที่ได้กำหนดเรียบร้อยแล้วว่าจะมีการถ่ายเทกั นเกิดขึ้นเมื่อใด โครงสร้างของข้อมูลนี้เราเรียกว่า Transfer Descriptor ซึ่งประกอบไปด้วยข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นสำหรับ Host Controller ในอันที่จะทำให้เกิดการถ่ายเทข้อมูลขั้น ข้อมูลข่าวสารดังกล่าวประกอบไปด้วย
ตำแหน่ง Address หรือที่อยู่ของอุปกรณ์ USB
ชนิดของการถ่ายเทข้อมูลว่าเป็นแบบใด
ทิศทางการไหลของข้อมูลข่าวสารว่าจะไหลจากไหนไปไหน
ตำแหน่ง Address ของ Memory Buffer สำหรับ Device Driver
เมื่อ Host Controller จะส่งข้อมูลไปที่อุปกรณ์ USB ปลายทาง ก็ทำได้โดยการอ่านข้อมูลจาก Memory Buffer ซึ่ง USB Device Driver เป็นผู้จัดสรรให้ ที่ซึ่งข้อมูลจะถูกจัดส่งไปที่อุปกรณ์ปลายทาง โดย Host Controller จะทำหน้าที่เป็นผู้แปลงข้อมูลจากขนานไปเป็นแบบอ นุกรม จากนั้นก็จัดให้มีการถ่ายเทข้อมูลโดยส่งออกไปที่ Root Hub เพื่อส่งต่อไปที่บัส
ในกรณีที่ต้องการจะอ่านข้อมูลจากอุปกรณ์ USB ตัว Host Controller จะสร้างสภาวะการติดต่อเพื่ออ่านข้อมูลขึ้น จากนั้นก็จะส่งคำขอการอ่านข้อมูลไปที่ Root Hub ซึ่ง Root Hub ก็จะส่งผ่านการขออ่านนี้ไปบน USB Bus ดังนั้นอุปกรณ์ปลายทางจะรู้ตัวว่าตัวเองกำหลังถู กเรียกใช้งานและได้รับการ้องขอให้ปลอดปล่อยข้อมูลออกมา อุปกรณ์ปลายทางนี้ก็จะปล่อยข้อมูลตามที่ต้องการไปที่ Root Hub ซึ่งก็จะส่งต่อข้อมูลนี้ไปที่ Host Controller อีกที่หนึ่ง จากนั้น Host Controller ก็จะนำข้อมูลที่ได้รับมาเป็นแบบอนุกรรมนี้มาทำการแปลงให้เป็น ขนาน จากนั้นก็จะนำไปเก็บไว้ที่ Memory Buffer ของ Device Driver อีกทีหนึ่ง

Root Hub
    การติดต่อเพื่อสื่อสารข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นโดย Host Controller จะถูกส่งต่อไปที่ Root Hub เพื่อให้ส่งต่อไปที่ USB Bus ซึ่งเป็นที่ ๆ อุปกรณ์ USB ได้เชื่อมต่อกับตัว Root Hub ซึ่งจัดได้ว่าเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญสำหรับอุปกรณ์ USB และมีหน้าที่ทำงานหลักดัง นี้
ควบคุมการเชื่อมต่อที่ USB Port
ทำหน้าที Enable/Disable Port (ทำให้ Port ทำงานหรือไม่ทำงาน)
ทำหน้าที่ตรวจสอบดูว่าแตะละ Port ของ Root Hub ติดตั้งอุปกรณ์อะไรบ้าง
สามารถจัดตั้งหรือรายงานสถานะของแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะทำงานของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ Port ต่าง ๆ

USB Hubs
    นอกเหนือจาก Root Hub แล้ว ระบบ USB ยังสนับสนุน Hub อีกแบบหนึ่งซึ่งเป็นส่วนขยายของระบบ USB จุดประสงค์เพื่อขยายขนาดการเชื่อมต่อเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ USB ได้มากยิ่งขึ้น ลักษณะการเชื่อมต่อจะเป็นแบบพ่วง Hub กันไปเรื่อย ๆ Hub ต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกับ Root Hub นี้มีไว้เพื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ USB ต่าง ๆ เช่นคีย์บอร์ดหรือจอภาพ ยิ่งไปกว่านั้น Hub เหล่านี้สามารถมีแหล่งจ่ายไฟเป็นของตนเองเป็นการเฉพาะ หรือจะใช้แรงดันไฟจากสาย USB ก็ได้ การจ่ายไฟให้กับ Hub เหล่านี้โดยผ่านทางสาย USB จะมีข้อจำกัดปริมาณของกำลังงานที่จ่ายออกมาที่ Bus และ ด้วยกำลังที่จ่ายออกมาที่ Bus นี้เองทำให้เกิดข้อจำกัดที่ไม่สามารถติดตั้งได้เกิน 4 USB Port ส่วนประกอบของ Hub มี 2 แบบดังนี้
Hub Controller
Hub Repeater

1. Hub Controller
     ประกอบไปด้วย USB Interface ซึ่งเป็นแผงควบคุมภายใน Hub บางทีจะเรียกว่า Serial Interface Engine (SIE) ซึ่งแผงควบคุมนี้จะติดตั้ง Firmware ซึ่งเป็นอุปกรณ์หน่วยความจำประเภท EEPROM ที่สามารถโปรแกรมได้ ภายในหน่วยความจำประกอบด้วยข้อมูลข่าวสารเรียกว่า Descri ptor ที่มีไว้เพื่อใช้ซอฟต์แวร์อ่านเพื่อพิสูจน์ความมีตัวตนของอุปกรณ์ที่เชื่อม ต่อกับ Port ของ Hub นอกจากนี้ Hub Controller ยังรวบรวมเอาข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานะของ Hub และ Port ซึ่งซอฟต์แวร์ของ USB Host นำไปใช้เพื่อตรวจสอบดูว่าอุปกรณ์มีการเชื่อมต่อหรือไ ด้ถอดออกไปจาก Port ของ Hub แล้ว รวมทั้งตรวจสอบดูสถานะการทำงานของ Hub นอกจากนี้ Hub Controller ยังรับเอาคำสั่งจากซอฟต์แวร์ของ Host เพื่อควบคุมการทำงานของ Hub ได้อีกด้วย

2. Hub Repeater 
    ข้อมูลข่าวสารที่วิ่งอยู่บน USB Bus จะต้องวิ่งไปข้างหน้า ไม่ว่าจะวิ่งไปตามกระแสจากล่างขึ้นบน(วิ่งจากอุปกรณ์ไปยัง Host) หรือวิ่งไปตามกระแสลงข้างล่าง (วิ่งจาก Host มายังอุปกรณ์ USB) โดยที่การส่งกระจายข้อมูลจาก Host จะต้องวิ่งไปที่ Root Port ของ Hub และ จะวิ่งไปยัง Port ทั้งหมดของ Hub ที่ยังทำงานอยู่ เมื่ออุปกรณ์ USB ปลายทางได้รับการติดต่อจาก Host แล้ว จะส่งข่าวสารที่เป็นการตอบสนอง วิ่งเป็นกระแสขึ้นบนกลับมาที่ Host โดยที่ Hub จะส่งต่อไปที่ Port ของ USB ที่เชื่อมต่อกับ Root Hub(เรียกว่า Downstream Port) เพื่อส่งต่อไปที่ Root Hub จากนั้น Root Hub ก็จะส่งต่อไปที่ Host อีกทีหนึ่ง

ชนิดของการถ่ายเทข้อมูลบน USB
     USB สามารถตอบสนองความต้องการที่จะส่งถ่ายข้อมูลหลากหลายชนิดจากแอพพลิเคชัน ซึ่งในระบบ USB สามารถมีระบบการถ่ายเทข้อมูลได้ 4 แบบ ดังนี้
-  Interrupt Transfer-Interrupt Transfer 
-  Bulk Transfer-Bulk Transfer
-  Isochronous Transfer
-  Control Transfer-Control Transfer

การเชื่อมต่อและสาย
    USB Connector ได้ถูกออกแบบมาเพื่อยอมให้อุปกรณ์รอบข้างหรือ Peripheral สามารถเชื่อมต่อเข้ามาที่ทางช่องเสียบของฮับได้ ช่องเสียบของฮับนี้ติดตั้งอยู่ที่ด้านหลังของคอมพิวเตอร์ หรืออาจเกี่ยวพันกับอุปกรณ์รอบข้างอื่น ๆ เช่น จอภาพ และ เครื่องพิมพ์ หรืออาจจะเป ็นช่องเสียบของฮับแบบโดดเดี่ยว

    1 Connector
   อุปกรณ์รอบข้างแบบ USB จะต้องมีการเชื่อมต่อกับช่องเสียบด้วยสัญญาณหาก Connector ที่ปลายทั้งสองด้านของสาย USB เป็นแบบเดียวกัน ก็แสดงว่ามีการเชื่อมต่อสายระหว่างช่องเสียบ USB มาตรฐาน USB ซึ่งได้ออกแบบ Connector เพื่อใช้งานอยู่ 2 แบบ
(1) Series A Connector เป็น Connector เพื่อการเชื่อมต่อระหว่าง USB Port กับสายเชื่อมต่ออุปกรณ์รอบข้าง (Peripheral)
(2) Series B Connector ถูกนำมาใช้กับอุปกรณ์รอบข้าง
แสดงลักษณะของ USB Port ที่ด้านหลังของคอมพิวเตอร์

   2 สายของ USB
   มาตรฐานของ USB ได้กำหนดอัตราความเร็วสูงสุดสำหรับช่องทาง USB ไว้ที่ 12 MB/s ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุดและช่องทางย่อยที่ความเร็ว 1.5 MB/s สายสัญญาณที่ใช้เพื่อการถ่ายเทที่ความเร็วสูงสุดจะต้องถูกออกแบบเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันสัญญาณรับกวนจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ขณะ ที่สายสัญญาณที่ใช้เพื่อการส่งข้อมูลความเร็วต่ำถูกนำมาใช้กับการเชื่อม อุปกรณ์ความเร็วต่ำ เช่น เมาส์และคีย์บอร์ด
   (1) สายสัญญาณสำหรับส่งถ่ายข้อมูลความเร็วต่ำ สายสัญญาณชนิดนี้จะส่งผ่านข้อมูลต่ำที่ความเร็ว 1.5 MB/s ถูกนำมาใช้งานที่ไม่ต้องการแบนด์วิดธ์หรือช่องสัญญาณกว้าง และความยาวของสายสัญญาณจะต้องไม่เกิน 3 เมตร ขนาดของเส้นลวดคือ 28 AWG
   (2) สายสัญญาณสำหรับส่งถ่ายข้อมูลความเร็วสูง สายสัญญาณประเภทนี้เป็นสายตีเกลียวประเภท Shieled Twisted Pair หรือ สายตีเกลียวที่ห่อหุ้มด้วยสื่อที่ป้องกันสัญญาณรบกวน รวมทั้งสายแบบธรรมดา สายสัญญาณประเภทนี้มีระยะทางสูงสุดไม่เกิน 5 เมตร อีกทั้งมี Propagation Delay ไม่เกิน 30 ns เมื่อทำงานที่ความถี่ตั้งแต่ 1-16 MHz

   รู้อย่างนี้แล้ว ยังมีช่องอีก 2 เส้น จะใช้ทำอะไรดีน๊อ เพื่อนสามารถดัดแปลงกันได้ครับ ที่เห็น ๆกันคือพัดลม อิๆ....

credit : http://www.svoa.co.th/st_article_info.php?id=103

วิธีเช็ค Power Supply ว่าเสียหรือไม่

01:57
    บางครั้งอาการเสียของคอมพิวเตอร์ในส่วนหนึ่งคือ เปิดเครื่องไม่ติด ดับไปเฉย สิ่งที่เราต้องเช็คครับ อย่างแรก สายไฟ อันนี้เราก็รู้อยู่แล้วคือ ลองหาสายมาเปลี่ยนใหม่ แต่ว่า Power Supply ล่ะ เราจะเช็คอย่างไร พอทำได้มั้ย ทำได้ครับเรามาดูกันครับว่าต้องทำอย่างไรบ้าง
   1. หาลวดหรือสายไฟที่มีฉนวนหุ้ม แล้วปอกปลายสายทั้งสองข้าง ข้างละประมาณ 1 Cm และสายมีความยาวประมาณ 20 Cm หรือตามสะดวกของแต่ละคนครับ
   2. ให้นำสายไปจั้มที่รูของสายแพร์ของ power supply (สายสีดำและสีเขียว) หรือ (สีเทาและสีดำ) บางรุ่นจะไม่เหมือนกัน
   3. ถ้าหากพัดลมไม่หมุน แสดงว่าพัง (เตรียมซื้อใหม่) และถ้าหมุนแสดงว่าใช้ได้ แล้วเวลาที่เราเอาสายออก พัดลมยังค้างอยู่ ก็แสดงว่า พังอีกเหมือนกัน สรุปแล้วคือ ถ้าจั้ม แล้วหมุน ถอดออกแล้วไม่หมุน เป็นอันใช้ได้ครับ งงมั้ย....

ความต่างระหว่าง NTFS Fomat และ FAT 32

01:40
   วันนี้จะมาอธิบายเกี่ยวกับฟอแมตของวินโดวน์ในเวลาบางครั้งที่เรานั้นจำเป็นต้องฟอแมต ไม่ว่าด้วยการฟอแมตลงเครื่องใหม่ (เจอแน่นอน) หรือฟอแมตไว้สำหรับเก็บข้อมูล อย่างน้อยเราก็ได้รู้เพื่อเวลาที่เราฟอแมต จะได้เหมาะสมกับความต้องการของระบบต่อไป ทำให้เรานั้นสามารถซ่อมคอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง ได้ด้วยล่ะ ภูมิใจๆ

   NTFS (New Technology File System)
-   ออกแบบมาเพื่อใช้กับระบบ ปฏิบัติการ Windows NT โดยเฉพาะ จำพวก XP นี่แหละ
-  เป็นระบบไฟล์ที่ออกแบบเพื่อให้มีศักยภาพในการประมวลผลข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ และนำมาใช้กับระบบปฏิบัติการเครือข่ายที่ต้องมีการควบคุมระบบความปลอดภัย
-  สนับสนุนการตั้งชื่อไฟล์หรือ ไดเร็คทอรี่แบบยาว ได้ถึง 255 ตัวอักษร
  NTFS มีข้อดีคือ
     1.มีความสามารถในการบีบอัดข้อมูล (File Compression)ให้ได้พื้นที่เก็บข้อมูลมากขึ้น โดยไฟล์ที่เก็บข้อมูลเป็นตัวอักษรจะบีบอัดได้ประมาณ 50 % ถ้าเป็นไฟล์แบบ .exe จะประหยัดเนื้อที่ได้ประมาณ 40 %
     2.มีความสามารถในการกำหนดสิทธิ์ (Permission) การเข้าถึงข้อมูลให้กับผู้ใช้งานแต่ละคน ว่าให้ใครเข้าถึงข้อมูลไฟล์ไหนได้บ้าง แล้วสามารถอ่านได้อย่างเดียวหรือ แก้ไขได้ด้วย
    3.มีความสามารถในการเข้ารหัสข้อมูลได้
    4.NTFS สามารถรองรับขนาดของไฟล์และพาร์ติชันได้ใหญ่กว่า แบบ FAT ในทางทฤษฎีสามารถรองรับขนาดของไฟล์และพาร์ติชันรวมกันได้ถึง 16 Exabyte (EB) แต่ในทางปฎิบัติ สามารถรองรับขนาดของไฟล์ได้ 4-64 GB ส่วนขนาดของพาร์ติชันรองรับได้ 2 TB
    5.มีความสามารถจัดการกับ Cluster ที่เกิดปัญหา ซึ่งจะใช้วิธีการที่เรียกว่า Bad- Cluster Mapping คือเมื่อระบบพบว่ามี Bad Sector บน Harddisk ก็จะจัดหา Cluster ใหม่แล้วย้ายข้อมูลจาก Cluster เก่ามาใส่ให้โดยอัตโนมัติ จากนั้นจึงกำหนด Cluster เก่าเป็น Bad Sector
    - ใน ระบบ FAT จะ ไม่สนับสนุนการบีบอัดข้อมูล การเข้ารหัสข้อมูล และไม่มี Feature ในเรื่องของการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลด้วยการกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึง ข้อมูล ซึ่งต่างกับระบบ NTFS
    - ข้อเสียของ ของ NTFS ในยุคของ Windows NT คือไม่สามารถมองเห็นฮาร์ดดิสก์ที่เป็น File System แบบ FAT และในทางกลับกันระบบ FAT ก็จะมองฮาร์ดดิสก์ที่เป็น NTFS ไม่เห็นเช่นกัน
    - แต่ เมื่อมีระบบปฏิบัติการ Windows 2000 และ Windows XP ทำให้ฮาร์ดดิสก์ที่มีระบบไฟล์แบบ NTFS สามารถมองฮาร์ดดิสก์ที่มีระบบไฟล์แบบ FAT ได้ เพราะ ระบบปฏิบัติการ Windows 2000 และ Windows XP มีความสามารถในการสนับสนุน File System ทั้งแบบ FAT และ NTFS ทำให้ระบบปฏิบัติการ Windows 2000 และ Windows XP สามารถที่จะมองฮาร์ดดิสก์ทั้งแบบ NTFS และ FAT

      การ Shutdown แบบไม่ถูกต้องตามวิธี (FAT32) จะมา check disk กันทุกครั้ง
แต่ถ้าเป็น NTFS มันจะไม่ค่อย check disk ยกเว้นกรณีที่ Map และ Index ของ NTFS เกิดเสียหายมันถึงจะ check disk
     File Fat32 ที่ Boot Dos เห็น Ntfs ได้ครับชื่อไฟล์ NtfsDosPro ครับ
    ถ้า file ใหญ่กว่า 2G NTFS ดีกว่าจะได้ไม่ต้องตัดแบ่งเป็นหลาย file เหมือนใน fat32
ข้อเสียของ FAT 32
      1. ไม่สับสนุนการทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการอื่น รวมถึงวินโดวส์ 95 เวอร์ชันเดิม และวินโดวส์เอ็นที 4.0
      2. ในการใช้โปรแกรม Utility ที่จัดการกับดิสก์ ผู้ใช้ต้องตรวจสอบโปรแกรมนั้นว่าสนับสนุนระบบ FAT32 หรือไม่ ถ้าไม่สนับสนุนหรือไม่ได้ตรวจสอบแล้วผู้ใช้ใช้โปรแกรมนั้นกับฮาร์ดดิสก์ที่ เป็น FAT32 จะทำให้เกิดความเสียหายกับข้อมูลในฮาร์ดดิสก์ โดยไม่สามารถกู้ข้อมูลกลับคืนมา สำหรับโปรแกรมวินโดวส์ 95 OSR2 นั้นจะมีซอฟต์แวร์ Fdisk, Format, Scandisk และ Defrag ที่สนับสนุน FAT32 แต่มีซอฟต์แวร์ 1 ตัวในวินโดวส์เวอร์ชันนี้ที่ไม่สนับสนุน FAT32 คือ DriveSpace3 ดังนั้นจึงห้ามใช้ซอฟต์แวร์นี้กับฮาร์ดดิสก์ที่เป็น FAT32 เป็นอันขาด

      1. ถ้าคุณใช้ "Windows Me" ต้องใช้ FAT32 เพราะว่ามันจะมองไม่เห็น NTFS
      2. แต่ถ้าคุณใช้ "Windows XP" หรือ "Windows 2000" คุณมีสิทธิ์ที่จะเลือกใช้ ได้ทั้ง NTFS หรือ FAT32
      3. ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องดูจุดประสงค์ในการใช้งานด้วย หากคุณใช้ HDD โดยไม่มีโอกาสที่จะนำ HDD ไปต่อพ่วงกับเครื่องอื่นเพื่อถ่ายข้อมูล โดยที่เครื่องอื่นใช้ Windows Me อยู่ก็ใช้ NTFS ก็ได้ โดยข้อดีของ NTFS ทางเทคนิคเหนือกว่า FAT32(ตาม ความเห็น5) แตในทางกลับกัน หากคุณยังมีความจำเป็นในอนาคตที่จะต้องนำ HDD ตัวนี้ไปถ่ายข้อมูล  
     FAT16 คือระบบที่ใช้ในสมัยคอมเรานั้นยังเป็นไฟล์ระบบ 16-bit ใช้ตั้งแต่ Win95,NT4.0ลงมา FAT32 32-bit ตั้งแต่ Win98ขึ้นไป  ส่วน Cluster จะแบ่งตามขนาดของพาร์ติชั่น เช่น น้อยกว่า 260 Megabyte Cluster 512 byte ,260-511 Megabyte Cluster 4 kilobyte ,512-1023 Megabyte Cluster 4 kilobyte ที่กล่าวมาเป็นของFAT32 ส่วน NTFS ไม่รู้มันกำหนดยังไง แต่ว่า Defualt มันที่ 4KB ไม่เชื่อลองไป My com.. คลิกขวาที่ไดร์เลือก Format ดูที่ Allocation unit size จะตั้งให้เห็นว่า 4,096 Bite = 4Kb นั่นเอง (เวลา Format window... มันก็ตั้ง ที่4Kb) Cluster มากน้อยดียังไงอันนี้ผมไม่รู้ ที่บอกว่า Fat32 มันก็อบข้อมูลไม่ได้อาจเป็นเพราะว่ามันมีขนาดไฟล์ที่ใหญ่ หรือว่า ชื่อไฟล์หรือ ไดเร็คทอรี่ มันยาวเกินไป ประมาณนั้น

ข้อดีNTFS เพิ่มเติม
     จาก ข้อดีNTFS ข้อ2 ที่กล่าวมา ลองสักเกตว่า ถ้า user account มันมีการเข้ารหัส ถ้ามีผู้ใดขโมย Hard disk ไปใส่เครื่องอื่น เวลาที่อ่านแฟ้มข้อมูลที่มีการเข้ารหัส มันจะไม่สามารถเข้าได้  NTFS มี Indexing service เป็นระบบที่ช่วยเข้าถึงข้อมูลรวดเร็วขึ้น XP ตั้งเป็น Defualt อยู่แล้วแต่สามารถยกเลิกได้ ส่วน Vista มันเหมือนบังคับ - -* เพราะว่า Vista นำ ระบบนี้มาเป็นปัจจัยหลักในระบบปฎิบัติการ Vista ถ้าลองยกเลิกดูแล้วลอง รีเครื่องที่ เดียวดับเครื่องจะไม่สามารถบูทเข้า Vista ได้
-NTFS เร็วกว่า FAT32
    เห็นอย่างนี้แล้ว การเลือกใช้งานก็ทำได้เลยครับ จะได้ไม่ต้องสงสัยว่าจะเลือกอะไรดี ตามความเหมาะสมของเราครับ และเราก็สามารถซ่อมคอมพิวเตอร์ด้วยตนเองก็ได้

รวมอาการไวรัสคอมพิวเตอร์

01:17
1. Taks Manager หาย
2. Folder Options หาย
3.พิมพ์ CMD,Regedit,Msconfig เพื่อเรียกใช้งานไม่ได้
4.เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าผิดปกติ
5.เปิดโปรแกรม IE ขึ้นมาแล้วมีคำว่า "Hacked By XXXX" ขึ้นมาบนไตเติลบาร์
6.ปิดโปรแกรมอัตโนมัติ
7.ปิดเครื่องอัตโนมัติ
8.ไฟล์ หายไป เช่น ไฟล์เพลง ไฟล์หนัง ไฟล์โปรแกรมเอกสาร
9.ใส่รหัส Login เพื่อเข้าใช้งาน โดยที่เราไม่ได้ตั้งเลย อันนี้ถ้าเจอให้ใส่ "hacked"
10.แจ้งโปรแกรม Error ตลอดเวลา
11.เมื่อเปิดโปรแกรม IE ขึ้นมาจะขึ้นเว็บแปลก ๆ เช่น hxxp://www.07129.XX ในหน้าแรกและไม่สามารถเปลี่ยนเป็น about:blank ได้
12.เล่นเน็ตไม่ได้หรือ เน็ตช้ามากๆ
13.คลิกโปรแกรม.exe แล้วไม่รันให้มันจะฟ้องขึ้นมา อันเกิดจากไวรัสเข้าไปทำลายไฟล์
14.ขนาดของไฟล์ลดน้อยลงจากปกติ เช่น จาก 10 M เหลือเพียง 100 k
15.ไฟล์หายอันเนื่องมาจากถูกซ่อน ส่วนมากจะเป็นกับอุปกรณ์เก็บข้อมูล

     ที่สำคัญที่สุดของไวรัส บางชนิดจะทำลายไฟล์ .EXE ไปเรื่อย ๆและแทรกสคริปไวรัสฝังไว้ด้วย   และโปรแกรม Antivirus ของเราก็จะตามไปลบไฟล์ที่ไวรัสนั้นทำลาย โดยจะเห็นได้ว่า โปรแกรมไวรัสจะเรียกขึ้นมาใช้งานบ่อย ๆ ลบไฟล์บ่อย ให้เรารีบแก้ไขทันที หรือถ้าจะให้ดี ควรทำเป็น ZIP ไฟล์ไว้ดีที่สุด

รู้มั้ยว่าบางครั้งอาการคอมพิวเตอร์ก็ซ่อมง๊าย ง่าย

00:54
   วันก่อนมีคนเรียกไปดูคอมพิวเตอร์ครับ อาการคือ หน้าจอมือ เปิดติดนะ เจ้าของคอมเขาบอกว่า เปลี่ยนสายก็แล้ว เปลี่ยนจอก็แล้ว ทำอะไรไม่ได้เลย  อาการนี้หลาย ๆคนก็คงคิดว่าเป็นเกี่ยวกับการ์ดจอแน่นอนเลย เปลี่ยนใหม่แน่ ๆ แต่จริง ๆแล้วไม่ใช่ครับยังพอมีวิธีแก้ครับ และต้องมีเครื่องมือสองอย่างคือ ไขควง และอีเรสเซอร์ (ตัวอะไรฟะ) ก็ยางลบนั่นแหละ เรียกให้ไฮโซเฉย ๆครับ งั้นเรามาเริ่มชำแหละกันก่อนเลยอันดับแรก  RAM แกะมันมา เราจะเอามันมาทำความสะอาด โดยใช้ยางลบกันครับ ห้ามใช้ทินเนอร์นะครับอันตราย เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน กะจะให้ล้างเผ่าพันธ์ฝุ่นเลยรึงัยนิ ขัดตรงที่ขาแรมนะครับ ที่เป็นทองเหลืองนั่นแหละ ขัดให้ดูพอสะอาด จากนั้นก็ เอาใส่เข้าที่เดิมคืน และทำความสะอาดเมนบอร์ด โดยใช้พัดลมเป่าฝุ่นให้สะอาดครับ จริง ๆแล้วใช้ได้ตั้งแต่ใส่แรมเข้าคืนแล้วล่ะ  แต่ให้ทำความสะอาดบอร์ดเพราะว่าฝุ่นเป็นตัวการสำคัญในการทำให้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์มีปัญหาครับ  เราจึงต้องสะอาดไว้ก่อน เมื่อเป่าเรียบร้อยแล้วก็ประกอบเครื่อง ให้เรียบร้อย แล้วลองเปิดเครื่องดู ดูซิ ว่ามันจะใช้ได้มั้ย อาการนี้ส่วนมากแล้วจะเกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์ไม่ได้ใช้งานนานครับ หรือฝุ่่นมันเยอะจริง ๆถึงเกิดอาการนี้ครับ และเราก็จะซ่อมคอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง ต่อไป

ทำความสะอาดไฟล์เก่าให้กับwindows 7 แถมการจัดเรียงข้อมูล

23:53
       วันนี้เรามาทำความสะอาดไดร์ทุกไดร์กันดีกว่า เพราะบางครั้งเราก็เล่นอย่างเดียว ไม่ได้ดูเลยว่าไฟล์ขยะนั้นมันเกิดขึ้นทุกวัน ๆ ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้คอมพิวเตอร์ของเราช้าขึ้น และหลาย ๆคนที่ใช้วินโดวน์เซเว่นแล้ว อาจจะหาไม่เจอว่ามันอยู่ตรงไหน งั้นเราไปดูกันครับ
   1, ให้เราไปที่ปุ่มสตาร์ท >All Programs > Accessorie > System tools > Disk Cleanup ครับ
    2.จากนั้นจะพบหน้าต่างใหม่ให้เราเลือกครับว่าจะทำความสะอาดไดร์อะไร เช่น C: D: E: อะไรประมาณเนี๊ยะ

    3.อันนี้ผมจะทำความสะอาด C: แล้วกันครับ เป็นไดร์ของระบบปฏิบัติการ จากนั้นคลิก OK และโปรแกรมจะประมวลผลสักครู่หนึ่งก็จะเห็นหน้านี้


    4. ในขั้นตอนนี้นะครับ เราสามารถคลิกหน้าข้อความที่บอกว่าเป็นไฟล์ขยะของอะไร เช่น ของถังขยะ ไฟล์ขยะที่ประมวลผลแล้ว หรือไฟล์ของวินโดวน์ที่ซ่อม และโปรแกรมจะบอกถึงขนาดของข้อมูลว่ามากแค่ไหน ผมเคยเจอ 1.6 Gb มาแล้วครับ แบบว่าเล่นนานเลยลืม จากนั้นก็คลิก OK ระบบจะทำการลบให้ครับ อาจจะใช้เวลาสักนิดครับ ก็เป็นอันเสร็จสินครับ