วิธีแก้ hidden Folder แก้โฟลเดอร์ซ่อนจากไวรัส

17:26
     วันนี้เรามาดูอาการอาการหนึ่งที่ไวรัสได้เข้าไปเล่นงานไฟล์หรือโฟลเดอร์ของเรากันครับว่าเป็นยังงัยไปดูรูปกันก่อน
   
      จะสังเกตได้ว่าโฟลเดอร์ในกรอบเหลืองๆถูกซ่อนไว้  และได้แสดงให้เห็นว่าโฟลเดอร์ที่ถูกซ่อนอยู่มีอะไรบ้าง ซึ่งผมได้เปิด Folder Option ให้เห็นกันก่อนครับว่าถูกซ่อนจริง ๆ  แต่หากเราไม่ได้เปิด Folder option แล้ว show hidden folder เราจะมองไม่เห็นนะครับ (เดี๋ยวจะมาสอนกันทีหลัง) ซึ่งอันนี้แน่นอนเราจะรู้ว่าต้องโดนไวรัสอย่างแน่นอน แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับตัวนี้ครับ


   ปุ่ม Hidden ของ Folder แก้ไขไม่ได้ซะงั้นอ้าวแบบนี้ทำงัยล่ะ อย่างแรกผมแนะนำเลยครับว่าสร้างโฟลเดอร์ใหม่แล้วก็คัดลอกไฟล์ลงโฟลเดอร์ใหม่ อ้าวแล้วถ้าโฟลเดอร์ถูกซ่อนมีเป็นร้อยล่ะทำงัย อันนี้ไม่เป็นไรเดี๋ยวขออธิบายก่อนครับว่ามันเกิดจากอะไร

 หากเราต้องการยกเลิกการซ่อนทั้งหมดโดยใช้คำสั่ง cmd สามารถทำได้จาก ไปที่เมนู start แล้วพิมพ์ cmd กด Enter ครับจะได้หน้าต่างนี้ขึ้นมา

 ให้พิมพ์  attrib -s -h -r /S /D *.*  (วรรคให้ถูกต้องด้วยนะครับ) แล้ว Enter จากนั้นกลับไปสังเกตดูในใดร์ฟ ว่า Folder กลับมาแล้วหรือไม่
ตัวอย่าง  โฟลเดอร์ ในไดร์ฟ D ถูก Hidden ไว้ ให้เข้าไปที่ D โดยพิมพ์ d: แล้ว Enter
             เมื่อ เข้ามาอยู่ใน ไดร์ฟ D แล้ว ให้พิมพ์ attrib -s -h -r /S /D *.* ตาม แล้ว Enter
             แล้ว Enter จากนั้นกลับไปสังเกตดูในใดร์ฟ ว่า Folder กลับมาแล้วหรือไม่
- ยกเลิกการซ่อนบาง Folder
  attrib -s -h -r /S /D ชื่อโฟลเดอร์ (ไม่จำกัดว่า ชื่อโฟลเดอร์จะเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ
  และชื่อโฟลเดอร์จะต้องไม่เว้นวรรค แต่ถ้ามีให้ทำการแก้ไขชื่อก่อน)
    แต่วิธีข้างต้นค่อนข้างยากงั้นเอางี้ดีไหมเราใช้โปรแกรมแก้ไขกันดีกว่านะ อิๆ  เราจะแก้โฟลเดอร์ถูกซ่อนกันแบบง่ายๆกันเลยทีเดียว ไม่ต้องนั่งพิมพ์ให้เมื่อย และไม่ต้องนั่งมาเปิดโฟลเดอร์ที่ถูกซ่อน อย่างแรกไปโหลดโปรแกรมกันก่อนครับ กดแรงๆที่นี่ เมื่อได้มาแล้วก็คลิกเปิดเลย
   
     หน้าตาโปรแกรมก็เป็นอย่างนี้ล่ะครับจากนั้นเราก็คลิกปุ่มตรงกลาง(ภาษาอะไรก็ไม่รู้) เพื่อที่จะไปแก้โฟลเดอร์ที่ถูกซ่อนโดยไวรัส


    ผมขอเลือกไดร์ I แล้วกันครับซึ่งเป็น Handy drive ของผมเองมีโฟลเดอร์ที่ถูกซ่อนอยู่ หรืออีกอย่างหนึ่งให้เราคลิกไปที่โฟลเดอร์ย่อยก็ได้ครับมันจะมองเห็นโฟลเดอร์ที่ถูกซ่อนทั้งหมดแล้วคลิกทีละโฟลเดอร์ หรือถ้าจะแบบกวาดให้หมดไปเลย ^_^ เราก็คลิกทั้งไดร์นี่แหละ เอาเป็นว่าผมคลิกตามรูปด้านบนเลย แล้วคลิก OK แรงๆ (อันหลังแรงๆไม่ต้องทำก็ได้นะอิๆ)


   โปรแกรมก็จะวิ่งเพื่อไปแก้ไขโฟลเดอร์ที่ถูกซ่อนไว้ให้เราจนหมดทั้งไดร์เลยทีเดียว
    ผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าโปรแกรมที่ได้นำมาแนะนำในวันนี้น่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากกับหลายๆท่านที่ถูกไวรัสเล่นงาน เพื่อเราจะได้นำไฟล์ของเรากลับมาคืนครับ



วิธีลดขนาดรูปภาพครั้งละมากๆ ด้วยโปรแกรม Acdsee

03:11
   วันนี้บทความไม่ออกแต่อยากจะนำเสนอคร๊าบ เมื่อเช้างานเข้าพอดีโจทย์คือทำอย่างไรให้เราสามารถลดขนาดของภาพได้คราวละมากๆ ที่นี่มีคำตอบครับ ชอบแบบไหนทำแบบไหนลองดูครับ โดยโปรแกรมนี้จะทำให้เราลดเวลาการทำงานได้เยอะเลยครับหวังว่าคงถูกใจหลายๆท่านนะครับ
    สิ่งแรกที่เราจำเป็นจะต้องมีนั่นก็คือโปรแกรม Acdsee หลายๆคนก็มีในเครื่องแล้วล่ะแต่หลายๆคนยังไม่มีก็หาดาวน์โหลดมาใช้งานได้เลยครับเมื่อคุณติดตั้งเสร็จแล้วก็ดูตัวอย่างตอนต่อไปครับ

1. เปิดหารูปภาพจากคอมพิวเตอร์ของเราครับ

2. Duble Click รูปภาพขึ้นมาโปรแกรม ACDsee ก็จะเปิดโปรแกรมขึ้นมาแบบอัติโนมัติ


3.โปรแกรมจะเปลี่ยนเป็น Photo Manager ครับ

 

 4.กดแป้นพิมพ์ Ctrl+A ครับคำสั่งนี้จะเป็นคำสั่งในการเลือกทั้งหมด น่าจะเคยใช้กันนะครับ หรือจะใช้เลือกทีละภาพโดยกดปุ่ม Ctrl ค้างไว้แล้วใช้เมาส์คลิกเลือกครับ

5. จากนั้นให้ไปที่เมนู Batch+Resize ครับหรือเอาแบบลัดๆเลยก็ Ctrl+R ก็จะได้รดังภาพด้านล่างครับ


6.อธิบายกันนิดเมื่อเห็นเมนูนี้แล้วนะครับการย่อรูปภาพทีละมากๆ ปุ่มแรกคือ 
     - Percentage of originall ใช้สำหรับย่อแบบให้เป็นเบอร์เซ็นจากภาพขนาดจริงเช่นเราอยากลดขนาดภาพสัก 50% เราก็ทำได้ครับ เช่นขนาดภาพ 1200 px เมื่อลด 50 % ก็จะเหลือ 600 px ครับ
    -  Size in pixels ใช้สำหรับกำหนดขนาดภาพได้ตามต้องการครับว่าต้องการใหญ่แค่ไหน กรณีนี้ผมจะใช้บ่อยเพราะว่าขนาดภาพบางภาพมาเป็น 4000 px ผมจะย่อให้เหลือประมาณ 800 px เพื่อทำภาพ Gallery ในเว็บไซต์ อันนี้ก็กำหนดตามใจชอบได้เลยครับ
    -  Actual/Point size ใช้สำหรับกำหนดภาพที่เราต้องการขนาดเช่น เซนติเมตร มิลลิเมตร หรือนิ้ว

    เมนูนี้เลือกได้ตามความเหมาะสมเลยครับ


7.  ตำแหน่งที่จะบรรทึกอยู่ที่ไหนอย่างไร
      - Remove/replace original file ใช้สำหรับเราไม่ต้องการเก็บไฟล์เก่าไว้เราจะบันทึกทับครับ
      - Rename modified images and place insource folder เมนูนี้จะสร้างไฟล์ขึ้นมาใหม่ในโฟลเดอร์เดิมนั่นแหละครับ แต่ว่าจะมีชื่อ Resize_xxx ตามขึ้นมา
      -  Place the modified images in the following folder เมนูนี้เปลี่ยนที่อยู่ของไฟล์ใหม่เลยครับ เราสามารถคลิกที่รูปโฟลเดอร์แล้วเลือกตำแหน่งที่อยู่ได้เลย จากนั้นก็ไม่มีอะไรครับให้มันเป็นค่าปกติอย่างเดิม แล้วคลิกโอเค
 8. โปรแกรมจะกลับมาที่หน้าเดิมที่เราต้องการครับ แล้วคลิก Start Resize ครับ ขนาดของภาพที่เราตั้งผมแนะนำให้ตั้ง width เป็นขนาดที่ต้องการนะครับส่วน Height ความสูงนั้นก็ลบจากค่า width ออกสัก 200 ก็พอเดี๋ยวโปรแกรมจำคำนวณให้ใหม่ครับ


9. โปรแกรมก็จะทำงานไปเรื่อย ๆจนหมดรูปภาพที่เราเลือกครับ  เสร็จแล้วก็ไปเปิดดูไฟล์ที่เราบันทึกไว้
   







มาดูว่า USB3 คืออะไรกันซึ่งโน๊ตบุคทุกวันนี้ก็มีพอร์ตนี้กันแล้ว

22:24

           ทุกวันนี้โน๊ตบุคใหม่ๆมีช่องเชื่อมต่อแบบ USB3.0 กันแล้ว แล้วเราจะทำอย่างไรดี ปล่อยไว้เฉยๆหรือจะลองของกัน สำหรับผมลองของกันดีกว่า 555+ สำหรับเจ้า USB3.0  นั้นสามารถส่งถ่ายข้อมูลได้ถึง 5 Bbps เลยทีเดียว อยากรู้แล้วสิว่าเป็นอย่างไรแล้วสิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้เป็นเบื้องต้นคืออะไร



สำหรับการพัฒนา USB3.0 นั้นอาศัยการตั้งหลักเกณฑ์ในการพัฒนาในเรื่องหลัก 3  เรื่อง ได้แก่
  • ต้องมีการใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
  • ความเข้ากันได้กับรุ่นเก่า
  • การปรับปรุงประสิทธิภาพในการถ่ายโอนข้อมูล
ใช้พลังงานน้อยลงในการย้ายข้อมูลขนาดเท่าเดิม
กุญแจสำคัญในการพัฒนา USB 3.0 คือ การปรับปรุงเรื่องประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นในการยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่สำหรับอุปกรณ์พกพา ไม่ว่าจะเป็นโฮสต์หรืออุปกรณ์เสริม มีการพัฒนากรอบการทำงานหลายอย่างเพื่อลดการใช้พลังงานโดยรวมของอุปกรณ์ USB รุ่นใหม่อันประกอบด้วย
-          การขจัดเรื่องการสอบถามอุปกรณ์
-          การขจัดเรื่องการกระจายแพคเก็ต
-          สถานะพลังงานต่ำระหว่างการถ่ายข้อมูล
-          เพิ่มความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูล 10 เท่า
ความเปลี่ยนแปลงประการแรกที่ช่วยลดการใช้พลังงานคือ การขจัดการสอบถามอุปกรณ์ (device polling) ใน USB 2.0 โฮสต์คอนโทรลเลอร์ต้องทำการสอบถามอุปกรณ์ที่รู้จักอย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจ สอบว่ามีข้อมูลหรือต้องการส่งข้อมูลกลับมายังระบบโฮสต์หรือไม่ การสอบถามอุปกรณ์ทำให้อุปกรณ์ทุกตัวต้อง “ตื่นตัว” อย่างเต็มที่และสามารถส่งข้อมูลได้ตลอดเวลา อันหมายความว่า อุปกรณ์แต่ละตัวต้องเปลืองพลังงานในการส่งสัญญาน ตอบกลับไปยังระบบโฮสต์  เมื่อไม่มีข้อมูลที่ต้องการส่งกลับไปท้ายที่สุดโฮสต์ยังกินพลังงานอย่างต่อเนื่องจากการถามอุปกรณ์ต่างๆ ว่ามีข้อมูลที่ต้องการส่งหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ไม่มี
ความเปลี่ยนแปลงประการถัดมาคือ การเปลี่ยนรูปแบบการถ่ายโอนแพคเก็ตจากการกระจายมาเป็นการถ่ายโอนโดยตรง เมื่อโฮสต์ USB 2.0 มีข้อมูลที่ต้องการส่งไปยังอุปกรณ์ มันจะกระจายข้อมูลไปให้แก่พอร์ตทุกตัวต่อจากนั้นฮับทุกตัวที่สัมพันธ์กันต้องกระจายแพคเก็ตไปยังพอร์ตที่เกี่ยวข้อง แต่ละอันอีกครั้ง ท้ายที่สุด อุปกรณ์แต่ละตัวบนบัสต้องประมวลผลข้อมูล (ใช้พลังงาน)เพื่อพิจารณาว่ามันเป็นเป้าหมายของการส่งข้อมูลครั้งนี้หรือไม่
SuperSpeed USB มีการเปลี่ยนโปรโตคอลให้จัดส่งข้อมูลไปยังเป้าหมายที่ต้องการโดยตรง ซึ่งทำให้โฮสต์ต้องมีความชาญฉลาดมากขึ้นที่จะทราบว่าอุปกรณ์อยู่ตรงส่วนใด อันประกอบด้วยพอร์ตใดของฮับ (หรือพอร์ตต่าง ๆ หากมีฮับหลายตัวต่อคั่นกลางระหว่างฮับกับโฮสต์)  เส้นทางการส่งข้อมูลออกไป เทคนิคนี้ช่วยลดการใช้พลังงานโดยรวมทั้งในแง่การเจาะจงเป้าหมายที่ต้องการ ส่งข้อมูลไปให้โดยเฉพาะและมีเพียงเป้าหมายเท่านั้นที่ต้องมีการประมวลผล ข้อมูล
ความเร็วที่เพิ่มขึ้นมากถึง 10 เท่ายังช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานโดยรวม  ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าตัวรับส่งข้อมูลความเร็ว 5 Gbps จะใช้พลังงานในการส่งข้อมูลน้อยกว่าตัวรับส่งข้อมูลความเร็ว 480 Mbps ปกติ USB 2.0 จะมีอัตราการใช้พลังงานอยู่ที่ 4.75 v. – 5.25 V. ต่อพอร์ท และใช้กระแสอยู่ที่ 500mA ซึ่งหากคิดเป็นอัตราค่าพลังงานต่อความเร็วแล้วจะได้ที่ประมาณ 960 Kbp/s ต่อ mA แต่ USB 3.0 จะใช้พลังงานมากกว่าเก่าเกือบสองเท่า คือที่ประมาณ  900mA  แต่ได้ความเร็วกลับมาประมาณ 10 เท่า
 อย่างไรก็ดี สิ่งที่เรากำลังพูดถึงคือการลดพลังงานโดยรวม ไม่ใช่เพียงแค่กระแสไฟสูงสุดที่เกิดขึ้นเพียงชั่วระยะเวลาอันสั้นเมื่อตัว รับส่งข้อมูลเริ่มทำงาน เมื่อเราคำนึงถึงระยะเวลาทำงานของตัวรับส่งข้อมูลที่ลดลงประมาณ 10 เท่า ดังนั้นพลังงานทั้งหมดที่ต้องใช้เพื่อส่งข้อมูลจำนวนเท่ากันดังเช่น  การย้ายไฟล์จากเครื่องคอมพิวเตอร์ไปยังแฟลชไดรฟ์  ย่อมลดลงอยู่ในช่วงระหว่าง 20 เปอร์เซนต์  (เวลาใช้ไฟสูงสุดสองครั้งซึ่งใช้เวลาในการทำงานเพียงหนึ่งในสิบของเวลาเดิม)  กับ 50 เปอร์เซนต์ (เวลาใช้ไฟสูงสุดห้าครั้งซึ่งใช้เวลาในการทำงานเพียงหนึ่งในสิบของเวลาเดิม)  ของพลังงานทั้งหมดที่ต้องการใช้ในการส่งข้อมูลขนาดเดียวกันผ่านทาง USB 2.0
เมื่อผสมผสานระหว่างประสิทธิภาพการจัดพลังงานขณะว่างงานที่ผ่านการปรับปรุงให้ดีขึ้น คือจะมีโหมด  Idle, Sleep, Suspend  และ ไม่มีการกระจายแพคเก็ตและขจัดเรื่อง polling , พลังงานที่ใช้ในการส่งข้อมูลโดยเฉลี่ยที่ลดลง ทำให้ SuperSpeed USB จะใช้พลังงานประมาณไม่เกินหนึ่งในสามของ USB 2.0 เท่านั้น
ผลพลอยได้จากการที่  USB 3.0 สามารถส่งพลังงานถึง  900mA นั้นคือ จะะทำให้การชาร์ตอุปกรณ์ที่สนับสนุน USB 3.0 ที่เสียบผ่านสาย USB 3.0 ชาร์ตเร็วขึ้นด้วย
ความเข้ากันได้กับรุ่นเก่า
หัวใจสำคัญลำดับถัดไประหว่างการพัฒนาคือ การคงรักษาความเข้ากันได้กับ USB รุ่นเก่า  ในระหว่างการพัฒนา มีการพบว่าสายเคเบิลและหัวต่อที่ใช้อยู่นั้นไม่สามารถทำให้เกิดความน่าเชื่อ ถือมากพอสำหรับการถ่ายโอนข้อมูลที่ความเร็ว 5 Gbps ดังนั้นนักพัฒนาจึงได้ตัดสินใจว่าจำเป็นต้องส่งสัญญาณผ่านทางตัวนำแยกต่าง หากแทนที่จะใช้ตัวที่มีอยู่แล้วใน USB 2.0 สรุปแล้วนักพัฒนาเลือกที่จะใช้วิธีการส่งสัญญาณที่ต่างออกไปแบบ Full  Duplex ซึ่งมีรากฐานมาจากมาตรฐานทางไฟฟ้าของ PCI Express
Full Duplex คือการส่งข้อมูลแบบสองทิศทางได้พร้อมกันในทันที (สังเกตได้จากโลโก้ด้านบน ที่มีลูกศรสองหัว) ซึ่งในเวอร์ชันที่เราใช้ๆ กันอยู่นั้นจะสามารถส่งข้อมูลครั้งละ 1 ทิศทาง สังเกตได้ว่ารูปแบบสาย USB 3.0 นั้นจะมีถึงสี่เส้น โดยใช้ทิศทางละสองเส้น ต่างจากเวอร์ชั่น 2.0 จะมีสายที่ใช้ในการส่งข้อมูลเพียงคู่เดียวเท่านั้น
แล้วความเข้ากันได้กับรุ่นเก่ามีความหมายอย่างไร  เมื่อเราพิจารณาจากมุมมองของผู้ใช้ทั่วไป มันหมายความว่าสินค้าทุกตัวที่มีอยู่ซึ่งทำงานได้ตรงตามมาตรฐานจะสามารถทำ งานร่วมกับสินค้าใหม่ทุกตัวที่สนับสนุนมาตรฐานใหม่ อันหมายความว่าเคเบิลที่มีอยู่แล้วดังเช่น ปลั๊ก ต้องสามารถใช้กับตัวรับรุ่นใหม่ที่เหมาะสม ในทางกลับบ้าน เคเบิลรุ่นใหม่ต้องสามารถใช้กับตัวรับรุ่นเก่าได้เช่นกัน

เป็นที่ชัดเจนว่า เคเบิลและปลั๊กที่สนับสนุนมาตรฐานการรับส่งข้อมูลแบบ SuperSpeed USB จะมีตัวนำอันใหม่ทั้งในส่วนเคเบิลและหน้าสัมผัสอันใหม่ในปลั๊ก นอกจากนี้ ตัวรับรุ่นใหม่ต้องมีหน้าสัมผัสแบบใหม่รวมไปถึงรองรับหัวต่อแบบใหม่ที่ต้อง การได้เช่นกัน
 ลดการทำงานที่สูญเปล่า
กุญแจสำคัญลำดับสุดท้ายในการพัฒนาคือการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้บัสโดย รวม เราได้กล่าวมาแล้วว่า การขจัดเรื่องการสอบถามอุปกรณ์,  การปรับสถาปัตยกรรมเป็นแบบ Full Duplex ของ SuperSpeed USB ช่วยให้สามารถรับส่งข้อมูลได้สองทางพร้อมกันต่างจากสถาปัตยกรรม USB 2.0 ที่เป็น Half Duplex
 ใน USB 2.0 บัส Half Duplex ที่มีเส้นทางส่งข้อมูลเพียงชุดเดียว สำหรับการถ่ายโอนข้อมูลก่อให้เกิด ประเด็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพบัสสองประการ ประการแรกคือบัสต้อง “หมุนตัว” ทุกครั้งที่ทิศทางการไหลของข้อมูลเปลี่ยนไป อันหมายความว่าตัวส่งข้อมูลต้องหยุดทำงานตรงปลายด้านหนึ่งของการเชื่อมต่อ เมื่อตัวรับที่อยู่อีกด้านหนึ่งหยุดทำงาน เมื่อกระบวนการนี้เสร็จสมบูรณ์ การย้อนกลับจะเกิดขึ้นเมื่อตัวรับเริ่มทำงานบนอุปกรณ์ตัวแรกและตัวส่งเริ่ม ทำงานบนอุปกรณ์ตัวที่สอง
การทำงานแบบนี้ทำให้มีการใช้เวลาบนบัสอย่างสูญเปล่าซี่งมีนัยสำคัญที่ทำ ให้สมรรถภาพลดลง ผลพวงที่ตามมาคือต้องมีการถ่ายโอนข้อมูลเดิมให้เสร็จสิ้นก่อนที่จะการถ่าย โอนอันถัดไปจะเริ่มขึ้น อันหมายความว่าอุปกรณ์ฝั่งรับต้องแจ้งว่าได้รับข้อมูลแล้วและอุปกรณ์ฝั่งส่ง ต้องรับรู้สัญญาน ก่อนที่จะมีการส่งข้อมูลถัดไปผ่านบัส
ในสภาพแวดล้อมของ SuperSpeed  ซึ่งมีเส้นทางส่งข้อมูลสองชุดบนอุปกรณ์ทุกตัว ชุดหนึ่งใช้สำหรับรับข้อมูลและอีกชุดหนึ่งใช้สำหรับส่งข้อมูล อันเป็นการขจัดเวลาหมุนตัวของบัส  นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถส่งข้อมูลเพิ่มเติมจากฝั่งส่งโดยไม่รอการแจ้งว่า ได้รับข้อมูลแล้วจากฝั่งรับ

ปัญหาจากการความเร็วที่เพิ่มขึ้น
การส่งข้อมูลมักมีคอขวดที่จำกัดสมรรถภาพของการส่งข้อมูลทั้งหมด ในขณะที่ USB 2.0 High-Speed (และแม้แต่ USB Full-Speed ความเร็ว 12 Mbps และ USB Low-Speed ความเร็ว 1.5 Mbps) มีความเร็วเกินพอสำหรับการใช้งานบางประเภท แต่สำหรับการใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว USB 2.0 ได้กลายเป็นคอขวดในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา อันเป็นเหตุผลสำคัญให้มีการพัฒนามาตรฐานใหม่ที่เน้นเรื่องการถ่ายโอนข้อมูล อันเป็นการขจัดคอขวดที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ไม่ว่าสื่อที่ใช้บันทึกข้อมูลจะเป็นแบบจานหมุน เช่น ฮาร์ดดิสก์, ซีดี, ดีวีดี , แบบโซลิดสเตทหรือแฟลชไดรฟ์ที่มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลาย สื่อเก็บข้อมูลเหล่านี้มีความสามารถในการถ่ายโอนข้อมูลในอัตรามากกว่าที่ USB 2.0 สามารถทำได้
ดังนั้นคำถามก็คือ มีสื่อเก็บข้อมูลในปัจจุบันที่สามารถอ่านและเขียนข้อมูลด้วยอัตราใกล้เคียง 5 Gbps หรือไม่ คำตอบก็คือมีสื่อเช่นนั้นจริง แต่ยังไม่มากนัก คำตอบนี้อาจทำให้หลายคนเกิดความกังวลว่า SuperSpeed USB จะกลายเป็นคอขวดอีกครั้งหรือไม่ เป็นที่แน่นอนว่ามันสามารถเกิดขึ้นแต่คงไม่ใช่ในระยะเวลาอันใกล้นี้  นักวิชาการหรือผู้รู้ด้านคอมพิวเตอร์ คาดการว่า SuperSpeed USB ควรมีอายุยืนยาวไปอย่างน้อยอีก 5 ปี
ข้อมูลอ้างอิง   www.usb.org
ขอบคุณข้อมูล http://notebookspec.com/web/?p=82474